
เชื้อไวรัส RSV มักจะระบาดในช่วงปลายฝนต้นหนาว โดยเฉพาะในเด็กเล็ก โรงเรียนอนุบาล และศูนย์รับเลี้ยงเด็ก หลายคนอาจคิดว่าเป็นเพียงไข้หวัดธรรมดาแต่แท้จริงแล้วเชื้อไวรัสชนิดนี้อาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับหัวใจและปอด
บทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจว่า RSV คืออะไร มี อาการของโรค RSV แบบไหนบ้าง ใครบ้างที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง และเราจะมีวิธีดูแลตัวเองและคนที่เรารักให้ปลอดภัยจากเชื้อไวรัสนี้ได้อย่างไร
RSV (Respiratory Syncytial Virus) หรือชื่อภาษาไทยว่า ไวรัสอาร์เอสวี คือเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ทั้งส่วนบน เช่น จมูก คอ หลอดลม และส่วนล่าง เช่น ปอด
เชื้อไวรัส RSV สามารถพบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ แต่จะรุนแรงมากในเด็กเล็กโดยเฉพาะ
เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ
ทารกที่คลอดก่อนกำหนด (ก่อน 35 สัปดาห์)
เด็กที่มีโรคหัวใจแต่กำเนิด
เด็กที่มีโรคปอดเรื้อรัง
ไวรัสชนิดนี้แพร่ระบาดได้บ่อยในช่วงปลายฝนต้นหนาว เพราะอากาศเย็นและชื้นช่วยให้เชื้อมีชีวิตอยู่ได้นานขึ้น
เชื้อ RSV ติดต่อได้ง่ายผ่านสารคัดหลั่งจากผู้ป่วย เช่น น้ำมูก น้ำลาย หรือละอองจากการไอจาม เชื้อสามารถเกาะอยู่บนพื้นผิวสิ่งของ เช่น ของเล่น ลูกบิดประตู หรือโทรศัพท์มือถือ ได้หลายชั่วโมง และอยู่บนมือคนได้ถึง 30 นาที
ดังนั้น การสัมผัสสิ่งของที่มีเชื้อแล้วนำมือมาสัมผัสตาหรือจมูก ก็อาจทำให้ติดเชื้อได้ทันที

โดยทั่วไป อาการของโรค RSV จะคล้ายไข้หวัดธรรมดา เช่น
ไข้
ไอ
จาม
มีน้ำมูก
คัดจมูก
เจ็บคอ
แต่สำหรับบางราย โดยเฉพาะเด็กเล็กหรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ อาการอาจลุกลามไปยังระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง เช่น หลอดลมอักเสบ หรือปอดอักเสบได้
อาการจะเริ่มแสดงหลังได้รับเชื้อประมาณ 4-6 วัน และโดยทั่วไปจะดีขึ้นใน 1-2 สัปดาห์
RSV ในผู้ใหญ่ มักไม่รุนแรง และมีอาการคล้ายไข้หวัดธรรมดา ได้แก่
มีไข้ต่ำ ๆ
เจ็บคอ
คัดจมูก
ไอแห้ง ๆ
ปวดเมื่อยตามตัว
แต่ในบางกรณี โดยเฉพาะ ผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจหรือโรคปอดเรื้อรัง อาการอาจรุนแรงจนเกิดภาวะปอดอักเสบหรือหายใจลำบากได้
สำหรับคนที่สงสัยว่า RSV หายเองได้ไหม คำตอบคือในผู้ใหญ่ที่สุขภาพแข็งแรงส่วนใหญ่สามารถหายได้เองภายใน 7-14 วัน โดยอาการจะค่อย ๆ เบาลง
RSV ในเด็ก มีแนวโน้มรุนแรงกว่าในผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรงพอ
อาการเริ่มแรกของเด็กที่ติดเชื้อ RSV มักมีดังนี้
มีไข้
น้ำมูกไหล
ไอ จาม
เบื่ออาหาร
ซึม ไม่ร่าเริง
หากอาการลุกลามไปยังปอดหรือหลอดลม จะมีอาการอื่นเพิ่มเติม เช่น
หายใจเร็ว หอบเหนื่อย
มีเสียงวี๊ดเวลาหายใจ
ริมฝีปากเขียวซีด
บางรายอาจมีภาวะหยุดหายใจชั่วขณะ
อาการเหล่านี้ต้องรีบพาเด็กไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณของภาวะ หลอดลมฝอยอักเสบ (Bronchiolitis) หรือ ปอดอักเสบจาก RSV ได้
แม้ว่า โรค RSV จะไม่รุนแรงในคนทั่วไป แต่สำหรับบางกลุ่มถือว่าอันตรายมาก โดยเฉพาะใน
เด็กทารกและเด็กเล็ก (โดยเฉพาะต่ำกว่า 2 ปี)
ผู้สูงอายุ
ผู้ที่มีโรคหัวใจ โรคปอดเรื้อรัง หรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง
ผู้ป่วยหลังผ่าตัด หรือผู้ที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน
อ่านเพิ่มเติม เด็กกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสติดเชื้อ ไวรัส RSV มากที่สุด

แพทย์จะเริ่มจาก การซักประวัติและสังเกตอาการ เช่น ไข้ น้ำมูกไหล ไอ หรือหายใจลำบาก จากนั้นอาจตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีต่อไปนี้
การตรวจแบบรวดเร็ว Rapid Antigen Test
ใช้สำลีเก็บตัวอย่างจากโพรงจมูก nasal swab เพื่อหาสารโปรตีนของไวรัส RSV
การทดสอบทางโมเลกุล (Molecular Test)
เป็นการตรวจแบบละเอียด สามารถตรวจยืนยันพันธุกรรมของไวรัสได้อย่างแม่นยำ
การทดสอบ RP22 Panel
ตรวจหาเชื้อไวรัสทางเดินหายใจได้ถึง 22 ชนิด รวมถึง RSV
อ่านรายละเอียด การวินิจฉัยผู้ป่วยติดเชื้อโรค RSV
ปัจจุบัน ยังไม่มียาต้านไวรัสเฉพาะสำหรับ RSV การรักษาจึงเป็นแบบประคับประคองตามอาการ เช่น
ให้ยาลดไข้ (เช่น พาราเซตามอล)
ให้ยาลดน้ำมูกหรือยาขยายหลอดลม
ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
พักผ่อนให้เพียงพอ
ในรายที่มีอาการรุนแรง เช่น หอบเหนื่อย ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เพื่อให้ ออกซิเจนหรือใช้เครื่องช่วยหายใจ
rsv หายได้เองในคนที่สุขภาพแข็งแรงส่วนใหญ่ โดยเฉพาะผู้ใหญ่ที่ไม่มีโรคประจำตัว
โดยปกติอาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 7-14 วัน แต่ในเด็กเล็ก โดยเฉพาะทารกหรือเด็กที่มีโรคประจำตัว อาจใช้เวลานานกว่านั้นคือ ประมาณ 2-3 สัปดาห์
สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตอาการ หากพบว่ามีไข้สูง หอบเหนื่อย หรือหายใจเร็ว ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง
ทางโรงพยาบาลเชียงใหม่รามมีวัคซีนป้องกัน ไวรัส RSV สำหรับเด็ก และ ผู้ใหญ่
วัคซีนเหล่านี้ช่วยลดความรุนแรงของเชื้อไวรัส RSV ได้ สามารถอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับบริการฉีดวัคซีนป้องกัน ไวรัส RSV
วัคซีนเพิ่มภูมิคุ้มกันไวรัส RSV (สำหรับผู้ใหญ่)
วัคซีนเพิ่มภูมิคุ้มกันไวรัส RSV (สำหรับเด็ก)
การดูแลสุขอนามัยพื้นฐานก็มีส่วนช่วยป้องกันเชื้อไวรัส RSV ได้เหมือนกัน เช่น
ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์
หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ผู้ที่มีอาการไอ จาม
สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในพื้นที่แออัด
ทำความสะอาดของเล่นและสิ่งของที่เด็กใช้ร่วมกันเป็นประจำ
ไวรัส RSV เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่หลายคนมองข้าม เพราะมีอาการคล้ายไข้หวัดทั่วไป การรู้เท่าทันอาการเริ่มต้นและดูแลรักษาอย่างถูกวิธีจะช่วยลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนได้
หากสงสัยว่าตนเองหรือบุตรหลานอาจติดเชื้อไวรัส RSV ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและดูแลอย่างเหมาะสม พร้อมปฏิบัติตามหลักสุขอนามัยพื้นฐานเพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อ