การดูแลสุขภาพครรภ์ให้ดีไม่ใช่แค่การดูแลตัวเองเท่านั้น แต่ยังเป็นการเอาใจใส่ดูแลเพื่อความปลอดภัยและพัฒนาการที่สมบูรณ์ของลูกน้อยในท้อง สุขภาพที่ดีของคุณแม่ตั้งครรภ์จะส่งผลโดยตรงต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ ตั้งแต่ระบบอวัยวะต่างๆ ไปจนถึงพัฒนาการทางสมอง การได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน การพักผ่อนที่เพียงพอ และการดูแลสุขภาพจิตใจที่ดี ล้วนเป็นปัจจัยที่ช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ทั้งกับตัวคุณแม่เองและลูกน้อย
บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจถึงวิธีดูแลสุขภาพครรภ์อย่างถูกวิธี ครอบคลุมตั้งแต่การเตรียมตัว การสุขภาพตลอด 9 เดือน ไปจนถึงการสังเกตสัญญาณอันตรายที่ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อให้การตั้งครรภ์เต็มไปด้วยความมั่นใจ และนำไปสู่การมีสุขภาพที่แข็งแรงปลอดภัยทั้งคุณแม่และคุณลูก
การเตรียมความพร้อมของร่างกายก่อนที่จะเริ่มตั้งครรภ์จริงมีความสำคัญที่ช่วยสร้างพื้นฐานสุขภาพที่ดีให้กับทั้งคุณแม่และลูกน้อยในอนาคต หากคุณกำลังวางแผนที่จะมีลูก การดูแลตัวเองล่วงหน้าจะช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ที่มีคุณภาพและลดความเสี่ยงต่างๆ ได้
สิ่งสำคัญสำหรับการเตรียมตัวก่อนตั้งครรภ์
การตรวจสุขภาพและปรึกษาแพทย์ ก่อนเริ่มวางแผนตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพโดยรวม ตรวจหาโรคประจำตัว หรือภาวะทางพันธุกรรมที่อาจส่งผลต่อการตั้งครรภ์ แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ หรือตรวจอื่นๆ ตามความเหมาะสม เพื่อประเมินความพร้อมของร่างกาย
การรับประทานกรดโฟลิก กรดโฟลิกมีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันภาวะระบบประสาทของทารก ซึ่งเป็นความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นได้ แนะนำควรให้คุณแม่ที่วางแผนจะตั้งครรภ์เริ่มรับประทานกรดโฟลิกอย่างน้อย 1-3 เดือนก่อนตั้งครรภ์ และต่อเนื่องไปจนถึงช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ปริมาณที่แนะนำคือ 400 ไมโครกรัมต่อวัน หรือตามคำแนะนำของแพทย์
กรดโฟลิกสามารถพบได้ในผักสดใบเขียว
งดดื่มแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่ เพราะสารพิษจากสิ่งเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบต่อการเจริญพันธุ์และพัฒนาการของทารกได้โดยตรง
การฉีดวัคซีนที่จำเป็นก่อนตั้งครรภ์ การฉีดวัคซีนบางชนิด เช่น วัคซีนหัดเยอรมัน มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิงที่กำลังจะตั้งครรภ์ เพราะหากติดเชื้อหัดเยอรมันระหว่างตั้งครรภ์ อาจส่งผลให้ทารกมีความพิการแต่กำเนิดได้ แนะนำควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจสอบประวัติการรับวัคซีนและรับวัคซีนที่จำเป็นให้ครบถ้วนก่อนตั้งครรภ์
สารอาหารทุกอย่างที่คุณแม่ได้รับจะถูกส่งผ่านไปยังลูกน้อยเพื่อใช้ในการเจริญเติบโตและพัฒนาการของอวัยวะต่างๆ โภชนาการที่ดีของคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์จึงเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้สุขภาพครรภ์และเด็กทารกเจริญเติบโตได้อย่างสมบูรณ์
สารอาหารสำคัญสำหรับแม่และเด็กในครรภ์
กรดโฟลิก ยังคงมีความสำคัญอย่างต่อเนื่องในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ ช่วยในการสร้างเซลล์สมองและระบบประสาทของทารก
ธาตุเหล็ก มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างเม็ดเลือดแดง ป้องกันภาวะโลหิตจางซึ่งพบบ่อยในหญิงตั้งครรภ์
แคลเซียม จำเป็นต่อการสร้างกระดูกและฟันที่แข็งแรงของทารก รวมถึงช่วยในการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อของคุณแม่
ไอโอดีน สำคัญต่อการพัฒนาสมองและระบบประสาทของทารก รวมถึงการทำงานของต่อมไทรอยด์ของคุณแม่ การขาดไอโอดีนอาจส่งผลกระทบต่อระดับสติปัญญาของทารกได้
ดีเอชเอ และ โอเมก้า-3 เป็นที่จำเป็นในการพัฒนาสมอง ระบบประสาท และจอประสาทตาของทารก
โปรตีน เป็นส่วนสำคัญของเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ช่วยในการเจริญเติบโตของทารก รวมถึงการสร้างมดลูกและเต้านมของคุณแม่
การออกกำลังกายอย่างเหมาะสมระหว่างตั้งครรภ์นั้นมีประโยชน์มากทั้งต่อตัวคุณแม่เองและทารกในครรภ์ ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เตรียมพร้อมสำหรับการคลอด และฟื้นตัวได้เร็วหลังคลอด อย่างไรก็ตามควรเลือกประเภทการออกกำลังกายที่ปลอดภัยและเหมาะสมกับสภาพร่างกายของคุณแม่แต่ละคน
รูปแบบการออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับคนท้อง
การเดิน
การว่ายน้ำ
การปั่นจักรยานอยู่กับที่
โยคะ
ร่างกายของคุณแม่ต้องการเวลาพักผ่อนมากขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ เพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและช่วยเรื่องการเจริญเติบโตของทารก การนอนหลับที่ไม่เพียงพออาจนำไปสู่ความเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย ภูมิคุ้มกันต่ำลง และอาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนบางอย่างได้ ฉะนั้นควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอประมาณ 7-9 ชั่วโมงต่อวัน
นอกจากนี้ความเครียดถือเป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้ระหว่างตั้งครรภ์ จากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน แต่ความเครียดที่มากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อทั้งคุณแม่และทารกได้ การจัดการความเครียดระหว่างตั้งครรภ์จึงสำคัญมาก การช่วยเหลือในเรื่องต่างๆ จะช่วยให้คุณแม่รู้สึกอารมณ์ดี มีความสุขมากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวมของทั้งแม่และลูก
การฝากครรภ์เข้ารับการดูแล ตรวจสุขภาพ รับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้การดูแลสุขภาพครรภ์คุณแม่และเด็กทารกให้แข็งแรงและปลอดภัย เพราะว่าแพทย์สามารถติดตามพัฒนาการของทารก ตรวจหาความผิดปกติหรือความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่เนิ่นๆ และให้การดูแลรักษาหรือป้องกันได้อย่างทันท่วงที
แนะนำให้ไปฝากครรภ์ทันทีที่ทราบว่าตั้งครรภ์ หรืออย่างช้าที่สุดคือภายใน 12 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ซึ่งการฝากครรภ์จะช่วยในเรื่อง
ตรวจคัดกรองสุขภาพเบื้องต้นของคุณแม่ เช่น ตรวจเลือดเพื่อดูหมู่เลือด ความเข้มข้นของเลือด ภาวะโลหิตจาง ตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (เช่น ซิฟิลิส เอชไอวี) ตรวจหาภูมิคุ้มกันหัดเยอรมัน
ได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลตนเองเบื้องต้น รวมถึง โภชนาการที่จำเป็น การรับประทานวิตามินเสริมที่จำเป็น เช่น กรดโฟลิก
ประเมินความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์
รายละเอียดเพิ่มเติม ประโยชน์ของการฝากครรภ์กับโรงพยาบาล
เลือดออกทางช่องคลอด ไม่ว่าจะเป็นเลือดออกปริมาณเล็กน้อยหรือมากควรรีบไปพบแพทย์ทันทีอาจเป็นสัญญาณของภาวะแท้งคุกคาม
ปวดท้องรุนแรง หรือปวดท้องเกร็งบ่อยครั้ง ทั่วไปแล้วอาการปวดท้องเล็กน้อยอาจเกิดขึ้นได้บ้างระหว่างตั้งครรภ์ แต่ถ้ามีอาการปวดท้องรุนแรง ปวดบิด ปวดเสียด หรือปวดเกร็งเป็นจังหวะอย่างสม่ำเสมอควรรีบไปทันที
มีน้ำเดิน หรือของเหลวไหลออกจากช่องคลอด อาจเป็นสัญญาณของภาวะถุงน้ำคร่ำแตกหรือรั่ว ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและอาจทำให้มีการคลอดก่อนกำหนดได้
ลูกดิ้นน้อยลงหรือไม่ดิ้นเลย เมื่อคุณแม่เริ่มรู้สึกว่าเด็กทารกดิ้นควรสังเกตการดิ้นของลูกอย่างสม่ำเสมอ หากรู้สึกว่าลูกดิ้นน้อยลงอย่างชัดเจน หรือไม่ดิ้นเลยเป็นระยะเวลานาน ควรรีบไปพบแพทย์
อาการบวมที่มือ เท้า หรือใบหน้า หากมีอาการบวมเล็กน้อยที่เท้าหรือข้อเท้าเป็นเรื่องปกติของการตั้งครรภ์ แต่ถ้ามีอาการบวมที่มือ ใบหน้า หรือบวมที่เท้าอย่างเห็นได้ชัดเจน อาจเป็นสัญญาณของภาวะครรภ์เป็นพิษ
การดูแลสุขภาพครรภ์ให้ดีตั้งแต่การเตรียมตัวก่อนตั้งครรภ์ การฝากครรภ์อย่างสม่ำเสมอ การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายที่เหมาะสม การพักผ่อนอย่างเพียงพอ และการจัดการกับความเครียด ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้ทั้งคุณแม่และทารกในครรภ์มีสุขภาพที่แข็งแรงและปลอดภัย
หากมีข้อสงสัยหรือความกังวลใดๆ เกี่ยวกับสุขภาพครรภ์ ควรที่จะปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อได้รับคำแนะนำที่ปลอดภัยและถูกต้อง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ แผนกสูตินรีเวช โรงพยาบาลเชียงใหม่ ราม โทร. 052-004699 เวลา 08.00 - 20.00 น.