โรคภูมิแพ้เกิดจากอะไร วิธีการรักษาและป้องกัน จะดีกว่าหากคุณรู้ว่าแพ้อะไร
March 10 / 2025

โรคภูมิแพ้

โรคภูมิแพ้เป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อย และส่งผลกระทบการใช้ชีวิตประจำวันของใครหลายๆ คน บางคนอาจมีแค่อาการน้ำมูกไหล คัดจมูก หรือคันตามผิวหนัง แต่บางคนอาจมีอาการแพ้ขั้นรุนแรงถึงหายใจติดขัด หรือสามารถเกิดภาวะอาการช็อกได้เลยทีเดียว

 

คนที่เป็นโรคภูมิแพ้สามารถควบคุมและป้องกันได้ หากรู้ตัวว่าแพ้อะไรก็เพียงหลีกเลี่ยงสิ่งนั้นไม่ให้เข้าสู่ร่างกายตัวเอง ในบทความนี้เราจะพาไปทำความเข้าใจว่าโรคภูมิแพ้เกิดจากอะไร วิธีการรักษามีอะไรบ้าง และที่สำคัญที่สุดคือ วิธีป้องกัน หลีกเลี้ยงไม่ให้เกิดอาการแพ้เพื่อให้คุณมีสุขภาพที่ดี

โรคภูมิแพ้เกิดจากอะไร

 

โรคภูมิแพ้ (Allergy) เกิดจากการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ เมื่อระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อ สารก่อภูมิแพ้มากเกินไป อย่างเช่น ฝุ่น, เกสรดอกไม้, ขนสัตว์, หรือแม้กระทั่งอาหารบางชนิด ซึ่งร่างกายมองว่าเป็นภัยร้ายแรงต่อร่างกายทำให้ร่างกายปล่อยสาร ฮีสตามีน ที่ทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ เช่น คัน, จาม, บวม, น้ำมูกไหล หรือหายใจติดขัด

 

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ

กระบวนการเกิดโรคภูมิแพ้

1. สัมผัสสารก่อภูมิแพ้ครั้งแรก

 

เมื่อร่างกายสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ครั้งแรก ระบบภูมิคุ้มกันจะเริ่มรับรู้ต่อสารเหล่านี้ ในกระบวนการนี้ร่างกายจะสร้างแอนติบอดี IgE ซึ่งจะไปจับกับแมสต์เซลล์ (เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่อยู่ในกลุ่มMyeloid stem cell เป็นเซลล์เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกาย) ที่อยู่ตามเนื้อเยื่อต่าง ๆ เช่น ผิวหนัง, ระบบทางเดินหายใจ, และลำไส้

 

2. การสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ซ้ำ

 

เมื่อร่างกายได้รับสารก่อภูมิแพ้เข้าไปในร่าวกายอีกครั้ง แอนติบอดี IgE ที่ติดกับแมสต์เซลล์ จะปล่อยสารเคมีต่างๆ เช่น ฮีสตามีน (Histamine), โปรสตาแกลนดิน (Prostaglandins), ลีโคโทรอีน (Leukotrienes) โดยสารเหล่านี้จะทำให้เกิดอาการแพ้ต่างๆ เช่น คัน, บวม, จาม, น้ำมูกไหล, หรือหายใจลำบาก

3. เกิดอาการภูมิแพ้

สารที่ถูกปล่อยจากแมสต์เซลล์ที่จับกับแอนติบอดี IgE จะกระตุ้นให้เกิดอาการต่าง ๆ ดังนี้

  • หลอดเลือดขยายตัวบริเวณร่างกายที่สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ เกิดจากการที่แมสต์เซลล์ปล่อยสารฮีสตามีน (Histamine) และสารอื่น ๆ

  • เพิ่มการไหลเวียนของเลือดบริเวณร่างกายที่มีการอักเสบซึ่งจะทำให้เกิดอาการบวม น้ำมูกไหล

  • ร่างกายจะเกิดอาการ คัน, ไอ, จาม, มีผื่น, บวม, หายใจลำบาก

วิธีการตรวจและวินิจฉัยโรคภูมิแพ้

จะดีกว่าถ้าเรารู้ตัวเองว่าเราแพ้อะไรจะช่วยให้เราสามารถป้องกันหลีกเลี้ยงจากสิ่งที่ทำให้เกิดภูมิแพ้ได้ทันที ฉะนั้นแล้วการตรวจและวินิจฉัยโรคภูมิแพ้เป็นวิธีที่ทำให้คุณสามารถรับรู้ได้อย่างแม่นยำว่าตัวเองแพ้อะไรเพื่อที่จะได้เตรียมตัว ป้องกัน หลีกเลี้ยงได้เป็นอย่างดี

1. การซักประวัติเบื้องต้น

แพทย์จะเริ่มต้นด้วยการ ซักประวัติอาการ ที่คุณอาจประสบหรือพบเจอ เช่น

  • มีอาการภูมิแพ้เมื่อไหร่?

  • อาการเกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน?

  • สถานที่หรือเหตุการณ์อะไรที่ทำให้มีอาการแพ้ เช่น อยู่ในที่มีฝุ่น, สัมผัสกับสัตว์เลี้ยงหรือรับประทานอาหารอะไรเข้าไป เป็นต้น

การซักประวัตินี้จะช่วยให้แพทย์ทราบว่าคุณอาจมีภูมิแพ้ประเภทใด และสิ่งแวดล้อมรอบตัวคุณอาจเป็นสาเหตุหลักหรือไม่

2. การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง (Skin Prick Test)

การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนังเป็นวิธีที่แพทย์นิยมใช้ในการตรวจหาสารก่อภูมิแพ้ที่ผู้ป่วยแพ้โดยจะใช้เข็มที่มีสารก่อภูมิแพ้จิ้มลงบนผิวหนัง โดยวิธีนี้จะเป็นการตรวจหาปฏิกิริยาของร่างกายที่จะตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้จากเข็มที่จิ้งบนแขน

3. ตรวจภฺมิแพ้ด้วยการเจาะเลือดหา (Specific IgE Test)

การตรวจเลือดเพื่อหาภูมิแพ้นี้จะตรวจหาปริมาณสาร IgE ในเลือดซึ่งเป็นแอนติบอดีที่ร่างกายสร้างขึ้นเมื่อสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ โดยการเจาะเลือดสามารถดูค่า IgE เฉพาะสารก่อภูมิแพ้แต่ละชนิดในเลือด การเจาะเลือดทำให้แพทย์ประเมินได้ว่า ผู้ป่วยนั้นแพ้สารชนิดใดบ้าง และมากน้อยเพียงใด

วิธีรักษาโรคภูมิแพ้

1. กินยารักษาอาการภูมิแพ้

การกินยาเป็นหนึ่งในวิธีที่ใช้บ่อยที่สุดในการรักษาอาการภูมิแพ้ ยาที่ใช้รักษาภูมิแพ้จะช่วยเข้าไปควบคุมการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันและลดอาการอักเสบ

  • ยาแก้แพ้กลุ่มยาต้านฮิสตามีน (Antihistamines): ยากลุ่มนี้จะช่วยลดอาการคัดจมูก จาม คันหรือผื่นแดงที่เกิดจากสารก่อภูมิแพ้

  • ยาพ่นจมูก (NasalSpray) ใช้เพื่อบรรเทาอาการคัดจมูกและอาการอักเสบในโพรงจมูก

2. การฉีดวัคซีนภูมิแพ้ (Immunotherapy)

เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการภูมิแพ้เรื้อรังหรือภูมิแพ้ที่รุนแรงไม่สามารถหลีกเลี้ยงสารก่อภูมิแพ้ได้ การฉีดวัคซีนภูมิแพ้ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการรักษา วิธีนี้จะช่วยฝึกให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายปรับตัวกับสารก่อภูมิแพ้ โดยแพทย์จะเริ่มฉีดสารก่อภูมิแพ้ในปริมาณที่น้อยก่อนแล้วจากนั้นจะค่อยๆ เพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ร่างกายไม่ตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้นั้นๆ

การรักษาด้วยวิธีนี้จะต้องใช้ระยะเวลานาน โดยอาจต้องทำการรักษาติดต่อกันหลายเดือนหรือหลายปี แต่สามารถช่วยลดอาการภูมิแพ้ได้ในระยะยาว

3. การป้องกันโรคภูมิแพ้

  • รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ควรรับประทานอาหารที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เช่น ผักผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ และหลีกเลี่ยงอาหารที่ส่งผลให้เกิดการกระตุ้นภูมิแพ้ภายในร่างกายตัวเอง
     

  • การออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น
     

  • การหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีมลพิษ หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับมลพิษในอากาศ ฝุ่งละออก ควัน และพยายามอยู่ในที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์ หรือใส่หน้ากากอมามัยทุกครั้งหากจำเป็นต้องเดินทางผ่านพื้นที่ที่มีมลพิษจำนวนมาก

 

โรคภูมิแพ้เกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้เช่น ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ อาหารบางชนิด ซึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น จาม น้ำมูกไหล หรือคันผิวหนัง 

การตรวจหาโรคภูมิแพ้สามารถทำได้โดยเริ่มจากการซักประวัติอาการแพ้ของผู้ป่วย หรือทดสอบด้วยการทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง (Skin Prick Test) การตรวจเลือดเพื่อตรวจหาปริมาณแอนติบอดี IgE ที่ร่างกายผลิตเมื่อสัมผัสสารก่อภูมิแพ้

หากท่านใดสนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ หรือ อยากตรวจหาอาการภูมิแพ้ภายในร่างกายเพื่อหลีกเลี้ยงไม่ให้เกิดอาการแพ้กับตัวเองสามารถติดต่อได้ที่โรงพยาบาลเชียงใหม่ ราม โทร. 052-004-699