อาการของลำไส้อักเสบ รู้ไว้รักษาทันก่อนอาการจะหนัก
December 16 / 2025

ลําไส้อักเสบ อาการ

 

อาการปวดท้องบ่อย ๆ คลื่นไส้ หรือท้องเสียบ่อยจนรู้สึกไม่สบายตัว บางครั้งอาการเหล่านี้อาจไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่เป็นสัญญาณของ ลำไส้อักเสบ โรคที่เกิดจากการอักเสบของเยื่อบุลำไส้ ซึ่งหากละเลยอาจลุกลามจนรุนแรงได้ การรู้ทันอาการ สาเหตุ วิธีรักษา และระยะเวลาหายของโรคนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้คุณสามารถป้องกันและดูแลตัวเองได้อย่างเหมาะสม ในบทความนี้เราจะอธิบายทุกมิติของโรคลำไส้อักเสบ พร้อมคำแนะนำตรวจคัดกรองจาก โรงพยาบาลเชียงใหม่ราม เพื่อความมั่นใจและการฟื้นตัวที่เร็วขึ้น

รู้จักกับโรคลำไส้อักเสบ

ลำไส้อักเสบคืออะไร

โรคลำไส้อักเสบคือการอักเสบของเยื่อบุผนังลำไส้เล็กหรือใหญ่ ซึ่งอาจเกิดขึ้นแบบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง การอักเสบนี้ทำให้เกิดอาการไม่สบายท้อง อาทิ ปวดท้อง ท้องเสีย คลื่นไส้ หรือบางครั้งมีไข้ร่วมด้วย

  • ลำไส้อักเสบเฉียบพลัน เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว มักเกิดจากอาหารปนเปื้อนหรือการติดเชื้อแบคทีเรีย สามารถหายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ หากได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม
     

  • ลำไส้อักเสบเรื้อรัง เกิดจากโรคภูมิต้านตัวเอง เช่น โรคโครห์น หรือภาวะแพ้สารอาหารบางชนิด อาการอาจคงอยู่เป็นระยะเวลานานและมีโอกาสเกิดซ้ำได้
     

กลุ่มเสี่ยงที่อาจะเกิดลำไส้อักเสบ

กลุ่มผู้ที่มีโอกาสเกิดลำไส้อักเสบ ได้แก่

  • ผู้ที่รับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ไม่สะอาด
     

  • ผู้ที่แพ้สารอาหารบางชนิด เช่น แลคโตส หรือกลูเทน
     

  • ผู้ที่ใช้ยากลุ่ม NSAIDs เช่น ไอบูโพรเฟน ต่อเนื่อง
     

  • ผู้ป่วยโรคโครห์นหรือโรคภูมิต้านตัวเอง
     

โรคลำไส้อักเสบ สาเหตุเกิดจากอะไร

การเข้าใจสาเหตุของลำไส้อักเสบช่วยให้เราสามารถป้องกันและรักษาได้ตรงจุด

1. การติดเชื้อในลำไส้

เชื้อแบคทีเรียที่มักพบ ได้แก่ E.coli, Salmonella, Shigella ซึ่งมักปนเปื้อนมากับอาหารหรือเครื่องดื่มที่ไม่สะอาด การติดเชื้อเหล่านี้ทำให้เยื่อบุลำไส้อักเสบ เกิดอาการท้องเสียและปวดท้อง

2. สารพิษและอาหารปนเปื้อน

การรับประทานอาหารที่มีสารพิษ เช่น เห็ดพิษ หรือโลหะหนัก สามารถสร้างความระคายเคืองต่อเยื่อบุลำไส้ นอกจากนี้อาหารบูดเสียยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดลำไส้อักเสบ

3. ผลข้างเคียงจากยา

ยากลุ่ม NSAIDs เช่น ไอบูโพรเฟน หรือยาแก้ปวดบางชนิด หากรับประทานต่อเนื่อง อาจทำให้เยื่อบุลำไส้เกิดการอักเสบเรื้อรัง

4. โรคภูมิต้านตัวเอง

ผู้ป่วยโรค โครห์น (Crohn’s disease) หรือ SLE (Systemic Lupus Erythematosus) มีความเสี่ยงลำไส้อักเสบเรื้อรัง เนื่องจากร่างกายโจมตีตัวเอง ทำให้เยื่อบุลำไส้อักเสบ

5. การแพ้สารอาหารบางชนิด

สารอาหารที่ร่างกายไม่สามารถย่อยได้ เช่น แลคโตสในนม หรือ กลูเทนในข้าวสาลี สามารถทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องเสีย และอักเสบเรื้อรัง

6. การรักษามะเร็ง

การฉายรังสีและการใช้ยาเคมีบำบัด อาจทำให้เนื้อเยื่อในช่องท้องและเยื่อบุลำไส้อักเสบ

7. ภาวะขาดเลือดในลำไส้

ภาวะช็อคหรือเลือดไปเลี้ยงลำไส้ไม่เพียงพอ ทำให้ลำไส้ขาดเลือดและเกิดการอักเสบ อาจต้องผ่าตัดลำไส้ส่วนที่เสียหาย

อาการของโรคลำไส้อักเสบ

  • ปวดท้องรุนแรง
     

  • ท้องเสียเป็นน้ำหรือมีมูกเลือด
     

  • คลื่นไส้อาเจียน
     

  • มีไข้เล็กน้อยถึงสูง
     

  • ท้องอืด ท้องเฟ้อบ่อย
     

  • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
     

  • อ่อนเพลียต่อเนื่อง
     

ภาวะแทรกซ้อนองโรคลำไส้อักเสบ

  • ภาวะขาดน้ำจากท้องเสียรุนแรง
     

  • การติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis)
     

  • ลำไส้ทะลุหรือเลือดออกในลำไส้

การรักษาโรคลำไส้อักเสบ

1. การรักษาตามอาการ

  • ดื่มน้ำเกลือแร่, ผงละลายเกลือแร่ ORS หรือให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำในกรณีรุนแรง
     

  • รับประทานอาหารอ่อนหรืออาหารเหลว เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม ซุป
     

  • ยาแก้ปวดและยาแก้คลื่นไส้อาเจียน ช่วยลดอาการปวดและอาเจียน
     

2. การรักษาโดยใช้ยา

  • ยาปฏิชีวนะ ใช้ในกรณีติดเชื้อแบคทีเรีย
     

  • ยาฆ่าเชื้อรา ใช้เมื่อเกิดลำไส้อักเสบจากเชื้อรา
     

3. ดูแลตัวเองให้เหมาะสม

  • พักผ่อนให้เพียงพอ
     

  • หลีกเลี่ยงอาหารที่ระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร เช่น อาหารที่นสมันจัด เผ็ดจัด
     

  • ทานอาหารและน้ำดื่มที่สะอาดปลอดภัย
     

4. การตรวจคัดกรองโรคลำไส้อักเสบและติดตามอาการ

โรงพยาบาลเชียงใหม่ราม มีบริการตรวจลำไส้เพื่อคัดกรองอาการผิดปกติของลำไส้

อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับ โปรแกรมส่องกล้องกระเพาะอาหารและลำใส้ใหญ่

เป็นโรคลำไส้อักเสบ กี่วันหาย

  • อาการเฉียบพลัน มักหายภายใน 1-2 สัปดาห์ หากได้รับการรักษาและดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม
     

  • อาการเรื้อรัง อาจต้องรักษานานหลายสัปดาห์หรือเดือน และต้องติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง
     

การรู้ทันอาการและสาเหตุของลำไส้อักเสบช่วยลดความเสี่ยงและเร่งการฟื้นตัวได้อย่างมาก การรักษาตามอาการ การปรับอาหาร และการใช้ยาอย่างเหมาะสม เป็นหัวใจสำคัญของการฟื้นตัวในอาการเฉียบพลัน ส่วนผู้ป่วยเรื้อรังควรตรวจติดตามและปรึกษาแพทย์เป็นประจำ

หากคุณมีอาการสงสัยลำไส้อักเสบ ไม่ควรรอช้า ติดต่อแพทย์เฉพาะทางที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจคัดกรองลำไส้การตรวจอย่างรวดเร็วและถูกวิธีช่วยให้คุณฟื้นตัวได้เร็วและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน