โรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ A เป็นโรคติดเชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน มักมีสาเหตุจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์ H1N1 ซึ่งเป็นชนิดที่พบได้บ่อย อาการสำคัญของโรคนี้คือไข้สูงแบบเฉียบพลัน หนาวสั่น ไอ เจ็บคอ น้ำมูกไหล ปวดศีรษะและปวดเมื่อยตามตัว ผู้ป่วยที่ติดเชื้ออาจรู้สึกอ่อนเพลีย หากไม่ได้รับการรักษา โรคไข้หวัดใหญ่ยังอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ
โรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ A เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่เกิดขึ้นในระบบทางเดินหายใจ โดยมีสาเหตุหลักมาจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์ H1N1 ซึ่งสามารถติดต่อได้ง่ายผ่านการสัมผัสละออง จากการไอหรือจามของผู้ป่วย อาการเริ่มต้นที่พบได้บ่อย ได้แก่ ไข้สูง หนาวสั่น ไอ เจ็บคอ น้ำมูกไหล ปวดศีรษะ และปวดเมื่อยตามร่างกาย
โดยทั่วไปแล้วผู้ป่วยที่มีสุขภาพแข็งแรงมักหายจากโรคนี้เองภายใน 5 - 7 วัน แต่สำหรับผู้ป่วยบางรายอาการอาจรุนแรงมากขึ้น โดยมีไข้สูงเกิน 38 องศาเซลเซียส ติดต่อกันนานกว่า 7 - 10 วัน และอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย เช่น ปอดอักเสบเฉียบพลัน เหนื่อยหอบ หายใจลำบาก ภาวะหายใจล้มเหลว รวมถึงอาจเกิดอาการชักในเด็กเล็กได้
ดังนั้น หากมีอาการคล้ายไข้หวัด มีไข้สูงเฉียบพลัน ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาอย่างถูกต้อง เพราะการดูแลตั้งแต่ระยะเริ่มต้นช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้มาก
อาการของ โรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ A สามารถแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับอายุ ภูมิต้านทาน และโรคประจำตัว ผู้ป่วยบางคนอาจมีอาการเพียงเล็กน้อยคล้ายไข้หวัดทั่วไป แต่บางรายอาจรุนแรงถึงขั้นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน
ส่วนมากผู้ติดเชื้อจะเริ่มแสดงอาการภายใน 1 - 4 วันหลังได้รับเชื้อ และมักมีอาการดังนี้
ไข้สูงเฉียบพลัน หนาวสั่น
ไอและเจ็บคอ
คัดจมูก น้ำมูกไหล จามบ่อย
อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า เบื่ออาหาร
ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อหรือปวดข้อ
ในบางรายอาจมีคลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องเสียร่วมด้วย
แม้ว่าอาการส่วนใหญ่จะหายได้เองภายใน 5 - 7 วัน แต่ในบางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย ได้แก่
ไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียสต่อเนื่องนานเกิน 1 สัปดาห์
ปอดอักเสบหรือปอดอักเสบรุนแรง
หายใจลำบาก เหนื่อยหอบ หายใจเร็วผิดปกติ
หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตต่ำ
ภาวะหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน
อาการชักจากไข้สูง (พบบ่อยในเด็กเล็ก)
ในกรณีรุนแรงอาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้
ดังนั้น หากผู้ป่วยมีอาการที่รุนแรงหรือไม่ดีขึ้นภายในไม่กี่วัน ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน เพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต
โรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ A มีสาเหตุหลักมาจากการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด H1N1 ซึ่งสามารถติดต่อจากคนสู่คนได้หลายช่องทาง โดยส่วนใหญ่จะเกิดจากการสัมผัสกับสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ เช่น น้ำมูก น้ำลาย เสมหะ หรือละอองที่ฟุ้งออกมาระหว่างการไอหรือจาม เมื่อเชื้อเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ ส่วนที่จะติดเชื้อและเข้าสู่ระยะฟักตัวได้แก่ โพรงจมูก ลำคอ จกานั้นจะลุกลามลงไปยังระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง เช่น กล่องเสียง หลอดลม และปอด
นอกจากการแพร่เชื้อโดยตรงแล้ว ยังสามารถติดเชื้อได้ทางอ้อม เช่น การสัมผัสสิ่งของหรือพื้นผิวที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส หากมือที่ปนเปื้อนเชื้อไปสัมผัสบริเวณปาก จมูก หรือดวงตา เชื้อไวรัสก็จะเข้าสู่ร่างกายได้เช่นกัน
สิ่งที่น่ากังวลคือผู้ติดเชื้ออาจยังไม่แสดงอาการในช่วงแรก แต่สามารถแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ตั้งแต่ 1 - 3 วันหลังการติดเชื้อ ทำให้โรคนี้แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว
แม้ว่า โรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ A ส่วนใหญ่สามารถหายเองได้ แต่การดูแลตัวเองอย่างถูกวิธีและป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อไปยังผู้อื่นถือว่าสำคัญมาก ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย โดยแนวทางการป้องกันและดูแลตัวเองมีดังนี้
การใช้ยากับผู้ป่วยที่มีไข้สูงหรือปวดเมื่อยตามร่างกายสามารถรับประทาน ยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล หรือไอบูโพรเฟน เพื่อช่วยบรรเทาอาการ แต่ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพริน โดยเฉพาะในเด็ก เนื่องจากอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้
การหลีกเลี่ยงการแพร่กระจายเชื้อ ผู้ป่วยติดเชื้อควรงดไปโรงเรียน ทำงาน หรือเดินทางไปในที่สาธารณะ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น รวมถึงควรแยกของใช้ส่วนตัว เช่น แก้วน้ำ ผ้าเช็ดหน้า และช้อนส้อม
สวมหน้ากากอนามัยเป็นการป้องกันที่ได้ผลอีกวิธีเมื่ออยู่ในพื้นที่ที่มีคนจำนวนมาก หรือเมื่อต้องใกล้ชิดกับผู้อื่น
การพักผ่อนและดูแลสุขภาพร่างกาย การนอนหลับให้เพียงพอ การดื่มน้ำมาก ๆ และทำให้ร่างกายอบอุ่น เป็นวิธีที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อไวรัสได้ดียิ่งขึ้น
การรักษาความสะอาด ล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดเป็นประจำ หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะหลังจากไอ จาม หรือสัมผัสสิ่งของที่อาจปนเปื้อนเชื้อ
การเฝ้าระวังอาการ หากพบว่ามีอาการรุนแรงขึ้น เช่น หายใจเหนื่อยหอบ ไข้สูงต่อเนื่อง หรือมีอาการผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจอันตรายถึงชีวิต