ไข้เลือดออก เป็นโรคติดต่อที่มีการแพร่กระจายผ่านยุงลาย และเป็นโรคที่อันตรายรุนแรงจนอาจทำให้เสียชีวิตได้ บทความนี้จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคไข้เลือดออกตั้งแต่สาเหตุ อาการในแต่ละระยะ วิธีดูแลรักษา ไปจนถึงการป้องกัน เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและป้องกันการแพร่กระจายของโรคได้
โรคไข้เลือดออก เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 4 สายพันธุ์ โรคนี้แพร่กระจายโดยมียุงลายเป็นพาหะหลัก เมื่อยุงที่มีเชื้อกัดมนุษย์ เชื้อไวรัสก็จะเข้าสู่ร่างกายและก่อให้เกิดอาการต่าง ๆ ตามมา
โดยทั่วไป โรคไข้เลือดออกมักพบการระบาดในช่วงฤดูฝน เนื่องจากเป็นช่วงที่ยุงลายแพร่พันธุ์ได้ง่ายจนทำให้จำนวนผู้ป่วย ไข้เลือดออก เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยทั่วไป อาการไข้เลือดออก มักแสดงหลังจากได้รับเชื้อประมาณ 2–7 วัน และมักเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน อาการที่พบบ่อย ได้แก่
ไข้สูงต่อเนื่อง มีไข้สูงประมาณ 38–40 องศาเซลเซียส
ปวดศีรษะและปวดรอบดวงตา ผู้ป่วยมักมีอาการปวดศีรษะบริเวณหน้าผากและขมับ ร่วมกับปวดบริเวณตา
ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ รู้สึกปวดเมื่อยตามตัว โดยเฉพาะกล้ามเนื้อและข้อต่อ
อ่อนเพลีย ไม่มีแรง ผู้ป่วยมักรู้สึกเหนื่อยง่าย ต้องการพักผ่อนมากขึ้น
คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร และบางรายอาจมีอาการปวดท้องร่วมด้วย
ผื่นแดงตามผิวหนัง กระจายทั่วร่างกาย ลักษณะคล้ายผื่นจากโรคหัดหรือโรคติดเชื้ออื่น ๆ
มีเลือดออกง่ายผิดปกติ เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน ไอมีเลือด หรือมีจุดเลือดออกเล็ก ๆ ที่ผิวหนัง
นอกจากนี้ ความรุนแรงของ อาการไข้เลือดออก อาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายด้าน เช่น สายพันธุ์ของเชื้อไวรัส ภูมิคุ้มกัน และพันธุกรรมของแต่ละบุคคล โดยเฉพาะผู้ที่เคยติดเชื้อมาก่อน เมื่อเกิดการติดเชื้อครั้งที่สองมักมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการรุนแรงมากขึ้น
อาการของ ไข้เลือดออก สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะหลัก ๆ
เริ่มต้นด้วยอาการ ไข้สูงต่อเนื่อง 3–7 วัน อุณหภูมิร่างกายอาจสูงถึง 40°C
ผู้ป่วยมักมีอาการ อ่อนเพลียอย่างมาก ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อและข้อ
อาจมีอาการ คลื่นไส้ อาเจียน และพบ ผื่นแดงตามผิวหนัง ในบางราย
ผู้ป่วยในระยะนี้ควรดูแลไม่ให้เกิดภาวะขาดน้ำ โดยควรดื่มน้ำเพื่อลดความเสี่ยงต่อการช็อกและภาวะขาดน้ำ
เป็นระยะที่อันตรายที่สุดของโรค ไข้เลือดออก
อาจมีอาการ เลือดออกง่าย เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามเหงือก จุดเลือดออกใต้ผิวหนัง หรือมีอาเจียนเป็นเลือด
เกิดภาวะ พลาสมารั่วไหล ทำให้ความดันโลหิตลดลงอย่างรวดเร็ว และอาจเข้าสู่ภาวะ ช็อก
หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทันที
ไข้เริ่มลดลง ร่างกายเริ่มฟื้นฟูจากภาวะเลือดออกหรือภาวะช็อก
อาการอ่อนเพลียยังคงอยู่ แต่จะค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ
การพักผ่อนให้เพียงพอ และรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง จะช่วยให้การฟื้นตัวรวดเร็วขึ้น
ในระยะนี้ควร หลีกเลี่ยงกิจกรรมหนัก ๆ และติดตามอาการต่อเนื่องเพื่อป้องกันการกลับมาเจ็บป่วยซ้ำ
การรักษา ไข้เลือดออก จะเน้นไปที่การบรรเทาอาการและการเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนเป็นหลัก โดยแนวทางการดูแลรักษา ได้แก่
การพักผ่อนให้ดเพียงพอ
ผู้ป่วยควรพักผ่อนให้มาก รับประทานอาหารอ่อน ๆ ที่ย่อยง่าย
การดื่มน้ำให้เพียงพอ
เนื่องจากไข้สูงอาจทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำได้มาก การดื่มน้ำสะอาดหรือน้ำเกลือแร่จะช่วยป้องกันภาวะขาดน้ำและลดความรุนแรงของอาการได้
การใช้ยาเพื่อลดไข้
ใช้ยาพาราเซตามอล เพื่อลดไข้และบรรเทาอาการปวดได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงยาในกลุ่ม แอสไพรินและไอบูโพรเฟน เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเลือดออก
พบแพทย์รักษาอาการไข้เลือดออก
หากมีไข้สูงต่อเนื่อง ควรที่ไปแพทย์โดยทันทีเพื่อตรวจวินิจฉัย สังเกตอาการ และหากอาการหนักแพทย์อาจะแนะนำให้จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาอย่างใกล้ชิดเพื่อเฝ้าระวังภาวะช็อก
การป้องกันโรค ไข้เลือดออก เป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนสามารถทำได้ โดยเน้นไปที่การป้องกันไม่ให้ถูกยุงกัด และการควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ซึ่งเป็นพาหะหลักของโรค
ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ยุงลายชอบวางไข่ในแหล่งน้ำขังเล็ก ๆ เช่น ภาชนะที่มีน้ำ ฝาขวด แจกัน หรือจานรองกระถางต้นไม้ ควรกำจัดน้ำขังเหล่านี้เป็นประจำ เพื่อป้องกันการขยายพันธุ์
ป้องกันไม่ให้ถูกยุงกัด ควรใช้มุ้งลวดกับบ้านเรือน นอนในมุ้ง ทายากันยุง หรือใช้เครื่องดักยุง เพื่อช่วยลดโอกาสถูกยุงกัด
ดูแลสิ่งแวดล้อมรอบบ้าน จัดการเศษขยะหรือภาชนะที่ไม่ใช้ เพื่อลดพื้นที่ที่ยุงสามารถเก็บน้ำและเพาะพันธุ์ได้
ปัจจุบันมีวัคซีนที่ช่วยลดความเสี่ยงจาก การติดเชื้อไวรัสเดงกี ได้ โดยวัคซีนสามารถป้องกันได้หลายสายพันธุ์ และแม้ติดเชื้อก็อาจช่วยลดความรุนแรงของอาการ อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ เพื่อพิจารณาความเหมาะสมของผู้รับวัคซีนแต่ละราย
ไข้เลือดออก เป็นโรคที่ไม่ควรมองข้าม เพราะสามารถพัฒนาไปสู่ภาวะรุนแรงและอันตรายถึงชีวิตได้ การรู้ทันตั้งแต่แรกเริ่ม ไม่ว่าจะเป็นการสังเกตว่า ไข้เลือดออก อาการเป็นอย่างไร, การเข้าใจ ระยะฟักตัวของไข้เลือดออก, รวมถึงวิธีการรักษาและการดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง ล้วนเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้อย่างปลอดภัย
วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก https://shorturl.at/36wHB
ติดตามข้อมูลสุขภาพเพิ่มเติม