อาการไข้เลือดออก อันตรายถึงชีวิต รู้ทันสาเหตุและวิธีป้องกัน
June 26 / 2025

ไข้เลือดออก

ไข้เลือดออก เป็นโรคติดต่อที่มีการแพร่กระจายผ่านยุงลาย และเป็นโรคที่อันตรายรุนแรงจนอาจทำให้เสียชีวิตได้ บทความนี้จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคไข้เลือดออกตั้งแต่สาเหตุ อาการในแต่ละระยะ วิธีดูแลรักษา ไปจนถึงการป้องกัน เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและป้องกันการแพร่กระจายของโรคได้

โรคไข้เลือดออก คืออะไร

โรคไข้เลือดออก เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 4 สายพันธุ์ โรคนี้แพร่กระจายโดยมียุงลายเป็นพาหะหลัก เมื่อยุงที่มีเชื้อกัดมนุษย์ เชื้อไวรัสก็จะเข้าสู่ร่างกายและก่อให้เกิดอาการต่าง ๆ ตามมา

โดยทั่วไป โรคไข้เลือดออกมักพบการระบาดในช่วงฤดูฝน เนื่องจากเป็นช่วงที่ยุงลายแพร่พันธุ์ได้ง่ายจนทำให้จำนวนผู้ป่วย ไข้เลือดออก เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

อาการไข้เลือดออก

โดยทั่วไป อาการไข้เลือดออก มักแสดงหลังจากได้รับเชื้อประมาณ 2–7 วัน และมักเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน อาการที่พบบ่อย ได้แก่

  • ไข้สูงต่อเนื่อง มีไข้สูงประมาณ 38–40 องศาเซลเซียส
     

  • ปวดศีรษะและปวดรอบดวงตา ผู้ป่วยมักมีอาการปวดศีรษะบริเวณหน้าผากและขมับ ร่วมกับปวดบริเวณตา
     

  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ รู้สึกปวดเมื่อยตามตัว โดยเฉพาะกล้ามเนื้อและข้อต่อ
     

  • อ่อนเพลีย ไม่มีแรง ผู้ป่วยมักรู้สึกเหนื่อยง่าย ต้องการพักผ่อนมากขึ้น
     

  • คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร และบางรายอาจมีอาการปวดท้องร่วมด้วย
     

  • ผื่นแดงตามผิวหนัง กระจายทั่วร่างกาย ลักษณะคล้ายผื่นจากโรคหัดหรือโรคติดเชื้ออื่น ๆ
     

  • มีเลือดออกง่ายผิดปกติ เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน ไอมีเลือด หรือมีจุดเลือดออกเล็ก ๆ ที่ผิวหนัง
     

นอกจากนี้ ความรุนแรงของ อาการไข้เลือดออก อาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายด้าน เช่น สายพันธุ์ของเชื้อไวรัส ภูมิคุ้มกัน และพันธุกรรมของแต่ละบุคคล โดยเฉพาะผู้ที่เคยติดเชื้อมาก่อน เมื่อเกิดการติดเชื้อครั้งที่สองมักมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการรุนแรงมากขึ้น

ระยะอาการของไข้เลือดออก

อาการของ ไข้เลือดออก สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะหลัก ๆ

 

 ระยะที่ 1  ระยะไข้สูง

  • เริ่มต้นด้วยอาการ ไข้สูงต่อเนื่อง 3–7 วัน อุณหภูมิร่างกายอาจสูงถึง 40°C
     

  • ผู้ป่วยมักมีอาการ อ่อนเพลียอย่างมาก ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อและข้อ
     

  • อาจมีอาการ คลื่นไส้ อาเจียน และพบ ผื่นแดงตามผิวหนัง ในบางราย
     

  • ผู้ป่วยในระยะนี้ควรดูแลไม่ให้เกิดภาวะขาดน้ำ โดยควรดื่มน้ำเพื่อลดความเสี่ยงต่อการช็อกและภาวะขาดน้ำ

ระยะที่ 2  ระยะวิกฤต 

  • เป็นระยะที่อันตรายที่สุดของโรค ไข้เลือดออก
     

  • อาจมีอาการ เลือดออกง่าย เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามเหงือก จุดเลือดออกใต้ผิวหนัง หรือมีอาเจียนเป็นเลือด
     

  • เกิดภาวะ พลาสมารั่วไหล ทำให้ความดันโลหิตลดลงอย่างรวดเร็ว และอาจเข้าสู่ภาวะ ช็อก
     

  • หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทันที
     

ระยะที่ 3  ระยะฟื้นตัว

  • ไข้เริ่มลดลง ร่างกายเริ่มฟื้นฟูจากภาวะเลือดออกหรือภาวะช็อก
     

  • อาการอ่อนเพลียยังคงอยู่ แต่จะค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ
     

  • การพักผ่อนให้เพียงพอ และรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง จะช่วยให้การฟื้นตัวรวดเร็วขึ้น
     

  • ในระยะนี้ควร หลีกเลี่ยงกิจกรรมหนัก ๆ และติดตามอาการต่อเนื่องเพื่อป้องกันการกลับมาเจ็บป่วยซ้ำ

วิธีการรักษาไข้เลือดออก

 

การรักษา ไข้เลือดออก จะเน้นไปที่การบรรเทาอาการและการเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนเป็นหลัก โดยแนวทางการดูแลรักษา ได้แก่

  • การพักผ่อนให้ดเพียงพอ
    ผู้ป่วยควรพักผ่อนให้มาก รับประทานอาหารอ่อน ๆ ที่ย่อยง่าย
     

  • การดื่มน้ำให้เพียงพอ
    เนื่องจากไข้สูงอาจทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำได้มาก การดื่มน้ำสะอาดหรือน้ำเกลือแร่จะช่วยป้องกันภาวะขาดน้ำและลดความรุนแรงของอาการได้
     

  • การใช้ยาเพื่อลดไข้
    ใช้ยาพาราเซตามอล เพื่อลดไข้และบรรเทาอาการปวดได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงยาในกลุ่ม แอสไพรินและไอบูโพรเฟน เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเลือดออก
     

  • พบแพทย์รักษาอาการไข้เลือดออก
    หากมีไข้สูงต่อเนื่อง ควรที่ไปแพทย์โดยทันทีเพื่อตรวจวินิจฉัย สังเกตอาการ และหากอาการหนักแพทย์อาจะแนะนำให้จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาอย่างใกล้ชิดเพื่อเฝ้าระวังภาวะช็อก

วิธีป้องกันและลดความเสี่ยงจากไข้เลือดออก

 

การป้องกันโรค ไข้เลือดออก เป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนสามารถทำได้ โดยเน้นไปที่การป้องกันไม่ให้ถูกยุงกัด และการควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ซึ่งเป็นพาหะหลักของโรค

 

การควบคุมและกำจัดยุงลาย

  • ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ยุงลายชอบวางไข่ในแหล่งน้ำขังเล็ก ๆ เช่น ภาชนะที่มีน้ำ ฝาขวด แจกัน หรือจานรองกระถางต้นไม้ ควรกำจัดน้ำขังเหล่านี้เป็นประจำ เพื่อป้องกันการขยายพันธุ์
     

  • ป้องกันไม่ให้ถูกยุงกัด ควรใช้มุ้งลวดกับบ้านเรือน นอนในมุ้ง ทายากันยุง หรือใช้เครื่องดักยุง เพื่อช่วยลดโอกาสถูกยุงกัด
     

  • ดูแลสิ่งแวดล้อมรอบบ้าน จัดการเศษขยะหรือภาชนะที่ไม่ใช้ เพื่อลดพื้นที่ที่ยุงสามารถเก็บน้ำและเพาะพันธุ์ได้
     

ได้รับวัคซีนลดความเสี่ยงติดโรคไข้เลือดออก

ปัจจุบันมีวัคซีนที่ช่วยลดความเสี่ยงจาก การติดเชื้อไวรัสเดงกี ได้ โดยวัคซีนสามารถป้องกันได้หลายสายพันธุ์ และแม้ติดเชื้อก็อาจช่วยลดความรุนแรงของอาการ อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ เพื่อพิจารณาความเหมาะสมของผู้รับวัคซีนแต่ละราย


ไข้เลือดออก เป็นโรคที่ไม่ควรมองข้าม เพราะสามารถพัฒนาไปสู่ภาวะรุนแรงและอันตรายถึงชีวิตได้ การรู้ทันตั้งแต่แรกเริ่ม ไม่ว่าจะเป็นการสังเกตว่า ไข้เลือดออก อาการเป็นอย่างไร, การเข้าใจ ระยะฟักตัวของไข้เลือดออก, รวมถึงวิธีการรักษาและการดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง ล้วนเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้อย่างปลอดภัย

 

วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก https://shorturl.at/36wHB

ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
ศูนย์ตรวจสุขภาพ เชียงใหม่ ราม เฮลท์ เซ็นเตอร์
052-004623 เวลา 08:00-16:00 น.

 

 

 


ติดตามข้อมูลสุขภาพเพิ่มเติม