โรคหัวใจเกิดจากอะไรบ้าง มีกี่ประเภท พร้อมวิธีป้องกัน
March 10 / 2025

โรคหัวใจ

 

โรคหัวใจเป็นหนึ่งในภัยอันตรายโดยไม่รู้ตัวที่จะส่งผลต่อชีวิตของใครหลายๆ คน และยังเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ในประเทศไทย โดยปี 2566 คนไทยเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดมากถึง 70,000 ราย (ที่มา กรมควบคุมโรค

 

โรคหัวใจเกิดขึ้นจากความผิดปกติในระบบหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งอาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น การสะสมไขมันในหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง การสูบบุหรี่ รวมไปถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันที่ไม่เหมาะสม

 

การเข้าใจโรคหัวใจจะช่วยให้เราสามารถป้องกัน ดูแลสุขภาพและห่างไกลจากความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจได้ ในบทความนี้ เราจะพูดถึงสาเหตุหลักของโรคหัวใจ ประเภทของโรคหัวใจ และวิธีป้องกันที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ และการสำรวจชีวิตประจำวันพฤติกรรมแบบไหนจะส่งผลเสียต่อสุขภาพของตัวคุณเอง

สาเหตุการเกิดโรคหัวใจ

 

โรคหัวใจเป็นโรคที่ส่งผลกระทบต่อระบบไหลเวียนเลือดและหัวใจ ส่วนใหญ่มักจะเกิดจากปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน

  1. เกิดการสะสมไขมันในหลอดเลือด (Atherosclerosis)

 

การสะสมไขมันในหลอดเลือด หรือ Atherosclerosis เป็นภาวะที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของผนังหลอดเลือด ทำให้ผนังหลอดเลือดชั้นในหนาตัวขึ้นเนื่องจากการสะสมของตะกอนไขมัน คอเลสเตอรอล หรือแคลเซียม ซึ่งอาจทำให้หลอดเลือดแข็งหรือตีบตัน ส่งผลให้เลือดและออกซิเจนไม่สามารถไหลเวียนเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ร่างกายได้เพียงพอ

 

สาเหตุของการสะสมไขมันในหลอดเลือดคือ ร่างกายมีระดับไขมัน LDL สูง โดยไขมัน LDL หรือเรียกง่ายๆ ว่าไขมันไม่ดีเป็นคอเลสเตอรอลที่ไปสะสมในผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดแดงตีบและแข็ง เป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน

 

  1. ความดันโลหิตสูง (Hypertension)

 

ความดันโลหิตสูงเป็นภาวะที่มีความดันในเลือดสูงกว่าปกติ หากมีการวัดความดันโลหิตพบว่ามีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 140/90 มม.ปรอท ปกติแล้วหากใครที่มีภาวะความดันโลหิตสูงมักจะไม่แสดงอาการออกมาอย่างชัดเจน แต่จะมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนอย่างรุนแรงได้ เช่น โรคหัวใจ, โรคหลอดเลือดสมอง, ไตวาย, จอประสาทตาผิดปกติ

 

  1. เบาหวาน (Diabetes)

 

ภาวะเบาหวาน หรือ โรคเบาหวาน เป็นภาวะที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติต่อเนื่อง เกิดจากความผิดปกติการทำงานของฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งโดยปกติแล้วอินซูลินจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม โดยนำน้ำตาลจากกระแสเลือดเข้าสู่ร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงาน

 

สาเหตุของโรคเบาหวานเกิดจากการที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงทำให้ไตไม่สามารถกรองของเสียและควบคุมน้ำตาลในเลือดได้ หากเกิดภาวะเบาหวานไตพยายามกำจัดน้ำตาลส่วนเกินผ่านการปัสสาวะซึ่งเป็นอาการ"ปัสสาวะหวาน" หากปล่อยให้มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงไปนาน ๆ ไตจะทำการดูดซึมและกำจัดน้ำตาลส่วนเกินอย่างหนักและต่อเนื่องซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะไตวาย

 

ทำความรู้จักกับอาการที่เสี่ยงจะเกิดโรคหัวใจ

โรคหัวใจมีกี่ประเภท อะไรบ้าง

 

1. โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Disease - CAD)

โรคหลอดเลือดหัวใจเกิดจากการเสื่อมสภาพหรือมีไขมันเข้าไปอุดตันในหลอดเลือดแดงโคโรนารี Coronary ที่ส่งเลือดไปเลี้ยงหัวใจส่งผลให้มีการตีบหรืออุดตันจนเลือดไม่สามารถไหลไปเลี้ยงหัวใจได้อย่างเต็มที่ รวมไปถึงทำให้หัวใจขาดออกซิเจนและเกิดอาการเจ็บบริเวณหน้าอกได้ อาจนำไปสู่ ภาวะหัวใจวาย ได้ทันที

 

2. โรคหัวใจขาดเลือด (Ischemic Heart Disease)

โรคหัวใจขาดเลือดเกิดขึ้นเมื่อการไหลเวียนของเลือดไปยังกล้ามเนื้อหัวใจลดลง ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจไม่ได้รับออกซิเจนที่เพียงพอเป็นผลให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานผิดปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้มีอาการเจ็บหน้าอก หากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดนานเกินไปอาจทำให้เกิดโรคหัวใจวายส่งผลต่อชีวิตได้ทันที

 

3. หัวใจวาย หรือ กล้ามเนื้อหัวใจตาย (Heart Attack / Myocardial Infarction - MI)

เป็นภาวะที่หลอดเลือดหัวใจเสื่อมสภาพ เกิดการอุดตันของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจจนไม่สามารถส่งออกซิเจนไปยังกล้ามเนื้อหัวใจได้ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและออกซิเจน อาการที่เกิดขึ้นคือ เจ็บหน้าอกอย่างรุนแรง รวมไปถึงมีอาการปวดร้าวไปตามแขน คอ กราม มีอาการเหงื่อไหลออกมามาก

 

4. โรคหัวใจล้มเหลว (Heart Failure)

โรคหัวใจล้มเหลวเกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจมีประสิทธิภาพการสูบฉีดเลือดลดลง ทำให้เลือดไหลย้อนกลับมายังหัวใจแทนที่จะถูกส่งไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายทำให้เลือดคั่งในหลอดเลือด น้ำคั่งในปอดเนื่องจากหัวใจไม่สามารถขับเลือดออกจากปอดได้ดี เลือดจึงคั่งในหลอดเลือดบริเวณปอด ส่งผลให้มีน้ำคั่งในปอด (pulmonary edema) ซึ่งทำให้เกิดอาการหายใจลำบาก เหนื่อยหอบ

 

5. โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmia)

โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะเกิดขึ้นเมื่อกระแสไฟฟ้าภายในหัวใจทำงานผิดปกติ ส่งผลให้หัวใจเต้นเร็วเกินไป (Tachycardia) หรือเต้นช้ากว่าปกติ (Bradycardia) หรือมีการเต้นไม่สม่ำเสมอ อาจทำให้เกิดอาการใจสั่น หน้ามืด หรือหมดสติได้

 

6. โรคลิ้นหัวใจ (Valvular Heart Disease)

โรคลิ้นหัวใจเกิดจากความผิดปกติของลิ้นหัวใจที่คอยทำหน้าที่ควบคุมการไหลเวียนของเลือดในหัวใจ หากลิ้นหัวใจเกิดการตีบหรือรั่ว ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลให้การไหลเวียนเบือดไม่เป็นปกติ อาจทำให้เกิดอาการเหนื่อยหอบ หายใจลำบากหรือรู้สึกปวดแน่นหน้าอก

 

7. โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด (Congenital Heart Disease)

โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดเกิดจากความผิดปกติของระบบหัวใจและหลอดเลือดตั้งแต่ตอนที่เป็นทารกอยู่ในครรภ์ ส่วนใหญ่แล้วปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดมีดังนี้ พันธุกรรม, มารดาติดเชื้อในระหว่างตั้งครรภ์ เช่น หัดเยอรมัน (Rubella) โรคเริม (Herpes) โรค HIV, การใช้ยาในระหว่างตั้งครรภ์ เช่น ยารักษาอาการชัก ยาลดความดัน ยากลุ่มวิตามิน A (Retinoic acid) ยาเสพติดกลุ่ม Amphetamines, มารดาเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์

 

วิธีป้องกันโรคหัวใจ

เราทุกคนสามารถลดความเสี่ยงและป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้ ด้วยการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้ดีขึ้นจะช่วยรักษาสุขภาพหัวใจให้แข็งแรงในระยะยาว

 

1. เลือกทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ

  • หลีกเลี้ยงอาหารที่มีไขมันสูง เช่น ของทอด ขนมหวาน หรืออาหารฟาสต์ฟู้ด เพราะไขมันจากอาหารเหล่านี้จะเพิ่มปริมาณไขมันสะสมในหลอดเลือด เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ

  • ทานผักผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูง การทานผักผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูงจะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด และช่วยชะลอการดูดซึมของน้ำตาลในเลือด

  • เลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันดี เช่น ไขมันจากปลา, ถั่ว, และน้ำมันมะกอก ซึ่งจะช่วยลดระดับไขมันไม่ดีในเลือดได้
     

2. ออกกำลังกายเป็นประจำ

การออกกำลังกายจะช่วยให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง ช่วยควบคุมน้ำหนัก ลดภาวะการเกิดความดันโลหิตและยังช่วยลดปริมาณไขมันในร่างกายลงได้ ทางโรงพยาบาลเชียงใหม่ รามแนะนำควรออกกำลังกายคาดิโอโซน 2 อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรือวันละ 30 นาทีต่อวัน เช่น เดินเร็ว, วิ่ง, ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน

 

3. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่

สารนิโคตินในสูบบุหรี่ จะเป็นตัวกระตุ้นการหลั่งสาร โดพามีน (dopamine), อะดรีนาลีน (adrenaline) ที่ทำให้หัวใจเต้นเร็ว เพิ่มความดันโลหิตสูงขึ้น สารนิโคตินทำให้ระดับคอเลสเตอรอลที่ในเลือดเพิ่มขึ้นส่งผลให้เกิดการสะสมของปริมาณไขมันในหลอดเลือดหัวใจ

 

4. ควบคุมความเครียด

ความเครียดสามารถทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น เกิดความดันโลหิตสูงและเพิ่มการหลั่งอะดรีนาลีน และคอร์ติซอลที่ทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น การหาวิธีจัดการกับความเครียด เช่น การพักผ่อน การทำงานอดิเรก จะช่วยให้หัวใจและร่างกายของเราผ่อนคลายมากขึ้น

 

5. ตรวจสุขภาพเป็นประจำ

การตรวจสุขภาพประจำปีไม่ว่าจะเป็นตรวจสุขภาพทั่วไป ตรวจสุขภาพหัวใจจะช่วยให้เราทราบถึงสุขภาพร่างกายของเราและทราบถึงระดับคอเลสเตอรอล ความดันโลหิต และระดับน้ำตาลในเลือด หากตรวจพบว่าเป็นมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดโณคหัวใจแพทย์ก็จะให้คำปรึกษาและแนะนำได้ทันที

ทางโรงพยาบาลเชียงใหม่ รามมีแพ็กเกจตรวจสุขภาพหัวใจที่ครอบคลุมการตรวจถึง 14 รายการ สามารถติดต่อสอบถาม โรงพยาบาลเชียงใหม่ ราม แผนกโรคเฉพาะทาง  โทร.052-004699 ต่อ 4000