
อัมพาตเป็นภาวะที่ร่างกายบางส่วนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามปกติ ซึ่งเกิดขึ้นอย่างฉับพลันและมีผลกระทบต่อชีวิตประจำวันอย่างรุนแรง โรคอัมพาตมีปัจจัยเสี่ยงจาก พฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การไม่ออกกำลังกาย และความเครียดสะสม ที่ส่งผลต่อหลอดเลือดและสมองโดยตรง
อัมพาตสามารถรักษาและฟื้นตัวได้ ถ้าได้รับการรักษาทันท่วงทีภายใน 4 ชั่วโมงครึ่ง หลังเกิดอาการ ดังนั้นการรู้เท่าทันอาการเริ่มต้นและสาเหตุของโรคจึงสำคัญมาก
โรคอัมพาต คือ ภาวะที่ กล้ามเนื้อบางส่วนหรือทั้งหมดของร่างกายไม่สามารถขยับได้ เนื่องจากการทำงานของสมองหรือไขสันหลังผิดปกติ มักเกิดจากการขาดเลือดไปเลี้ยงสมอง Stroke หรือเส้นประสาทถูกทำลาย
อัมพาตไม่ได้หมายถึงแค่เดินไม่ได้ แต่ยังรวมถึงการสูญเสียความสามารถในการพูด หรือควบคุมการเคลื่อนไหวบางส่วนของร่างกายด้วย
โรคอัมพาตแบ่งออกเป็นหลายประเภท โดยสามารถแยกตามลักษณะอาการได้ดังนี้
อัมพาตครึ่งซีก แขนและขาครึ่งหนึ่งของร่างกายอ่อนแรง ซีกซ้าย หรือ ซีกขวา
อัมพาตครึ่งล่าง แขนทำงานได้ แต่ขาอ่อนแรงหรือขยับไม่ได้
อัมพาตทั้งตัว แขน ขา และลำตัวไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
อัมพาตครึ่งซีกจะพบได้บ่อยที่สุด เพราะเกิดจาก โรคหลอดเลือดสมองตีบหรือแตก
สาเหตุหลักของอัมพาต มักเกี่ยวข้องกับสมองและระบบประสาทส่วนกลาง โดยเฉพาะในกรณีที่สมองขาดเลือดไปเลี้ยงหรือหลอดเลือดสมองแตกจนทำให้เนื้อสมองบางส่วนเสียหายถาวร
สาเหตุสำคัญ เช่น
โรคหลอดเลือดสมอง Stroke
การบาดเจ็บที่ศีรษะ
เนื้องอกในสมอง
การติดเชื้อในสมอง
หลายคนอาจไม่รู้ว่าพฤติกรรมในชีวิตประจำวันเป็นตัวเร่งที่ทำให้เกิดโรคอัมพาต
สูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล ทำให้หลอดเลือดตีบ
กินอาหารเค็มจัด ไขมันสูง เพิ่มความเสี่ยงต่อความดันโลหิตสูง
ไม่ออกกำลังกาย ทำให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
ความเครียดสะสมเรื้อรัง กระตุ้นให้ระดับความดันโลหิตพุ่งสูงอย่างเฉียบพลัน
แม้ว่าพฤติกรรมจะเป็นปัจจัยหลักแต่พันธุกรรม ก็มีส่วนเช่นกัน โดยเฉพาะคนที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดสมอง หรือโรคหัวใจ
นอกจากนี้ อายุที่มากขึ้น ยังเพิ่มโอกาสเกิดอัมพาต เนื่องจากหลอดเลือดเริ่มเสื่อม และการซ่อมแซมเซลล์ประสาททำได้ช้าลง
อาการอ่อนแรงหรือชาครึ่งซีก เช่น แขนหรือขาข้างหนึ่งไม่มีแรง ยกไม่ขึ้น
พูดไม่ชัด หรือพูดติดขัด พูดลำบากหรือไม่สามารถเปล่งเสียงได้
ใบหน้าเบี้ยว หรือปากเบี้ยว ยิ้มแล้วมุมปากตกข้างหนึ่ง
ตามัวหรือมองไม่เห็นข้างหนึ่ง
เวียนศีรษะ สูญเสียการทรงตัว เดินเซ
หลักการ BEFAST เป็นแนวทางที่ช่วยให้สังเกตอาการก่อนเกิดโรคอัมพาต
B (Balance) เวียนหัว เดินเซ ทรงตัวไม่ได้
E (Eyes) ตามัว มองไม่เห็นข้างใดข้างหนึ่ง หรือ ซักหนึ่งเฉียบพลัน
F (Face) ใบหน้าเบี้ยว หรือ ปากเบี้ยว
A (Arms) แขนขาอ่อนแรง ยกไม่ขึ้น
S (Speech) พูดไม่ชัดหรือพูดติดขัด
T (Time) หากพบอาการ ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที
หากคุณหรือคนรอบข้างมีอาการเหล่านี้ให้รีบพบแพทย์โดยทันทีภายในระยะเวลา 4 ชั่วโมงครึ่ง เพื่อการรักษาอาการได้ทันเวลา
การดูแลสุขภาพในแต่ละวันเป็นหัวใจสำคัญในการป้องกัน อัมพาตเกิดจากหลอดเลือดสมองตีบหรือแตก โดยเฉพาะ 6 พฤติกรรมนี้ที่ควรทำเป็นประจำ
ควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ
ความดันโลหิตสูงเป็นตัวการอันดับหนึ่งของโรคอัมพาต
ควรวัดความดันเป็นประจำอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง
ลดการกินเค็มและอาหารหมักดอง
ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
เบาหวานเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้หลอดเลือดเสื่อม
หลีกเลี่ยงน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว เช่น น้ำอัดลม ขนมปังขาว
เลิกสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
นิโคตินทำให้หลอดเลือดตีบ
แอลกอฮอล์ในปริมาณมากส่งผลต่อหัวใจและระบบประสาท
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
อย่างน้อยวันละ 30 นาที 3-5 วันต่อสัปดาห์
เดินเร็ว ปั่นจักรยาน หรือว่ายน้ำ
จัดการความเครียดและพักผ่อนให้เพียงพอ
ความเครียดทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่เพิ่มความดันโลหิต
ควรนอนหลับวันละ 6-8 ชั่วโมง
ตรวจสุขภาพประจำปี
โดยเฉพาะการตรวจระดับไขมันในเลือด, น้ำตาล และการทำงานของหัวใจ
ทางโรงพยาบาลเชียงใหม่ ราม เป็นศูนย์เฉพาะทางในการรักษาโรคหลอดเลือดสมองเพื่อเปิดบริการดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงจะเป็นโรคหลอดเลือดสมองอย่างใกล้ชิดโดยทีมงานแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน สามารถเข้าไปติดต่อเพื่อขอทำการตรวจสุขภาพประจำปีได้
การรักษาโรคอัมพาตสามารถแบ่งออกเป็นการรักษา 2 ระยะใหญ่ ๆ คือ
ระยะเฉียบพลัน เป็นช่วงเวลาไม่เกิน 4 ชั่วโมงครึ่งหลังจากเริ่มมีอาการ ถ้าเกิดจากหลอดเลือดสมองตีบ แพทย์จะให้ยา ละลายลิ่มเลือด เพื่อเปิดทางเลือดกลับไปเลี้ยงสมอง
ระยะฟื้นฟู แพทย์จะเริ่มให้ กายภาพบำบัดและฝึกพูด เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติที่สุด
ทั้งนี้การให้ยาและการดูแลจะต้องดำเนินการอยู่ภายในการควบคุมของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
ทางโรงพยาบาลเชียงใหม่ รามได้นำเทคโนโลยีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (TMS) มาใช้ในการรักษาฟิ้นฟูผู้ป่วยจากโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ใช้ระยะเวลาการฟื้นฟูเป็นระยะเวลา 30 นาที - 1 ชั่วโมง ไม่เจ็บ ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล