โนโรไวรัส ตัวร้ายในโลกของลูกน้อย
October 19 / 2023

 

 

“Norovirus” เป็นโรคติดต่อจากเชื้อไวรัสในระบบทางเดินอาหารที่ติดต่อได้ง่าย ซึ่งสามารถทำให้เกิดโรคระบบทางเดินอาหารที่รุนแรงได้ แม้ว่ามันสามารถส่งผลกระทบต่อคนทุกวัย แต่เด็กเล็กก็มีความเสี่ยงเป็นพิเศษต่อไวรัสชนิดนี้ ซึ่งส่งผลให้ลูกของเรามีอาการท้องเสีย อาเจียน และอาจมีความรุนแรงจนถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้นเราจึงควรต้องทำความรู้จักกับตัวร้ายนี้ เพื่อจะได้คอยป้องกันลูกน้อยของเราให้ปลอดภัย

“Norovirus” อยู่ในตระกูลของไวรัสที่เรียกว่า Caliciviridae และส่งผลต่อโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบ  ส่วนใหญ่แพร่กระจายผ่านการสัมผัสโดยตรงกับบุคคลที่ติดเชื้อ พื้นผิวที่ปนเปื้อน หรือการบริโภคอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อน ซึ่งไวรัสจะสามารถอยู่รอดได้บนพื้นผิวเป็นระยะเวลานาน ทำให้ยิ่งแพร่เชื้อได้ง่ายมากขึ้น

 

 

ความเสี่ยงสำหรับเด็กเล็ก :

เด็กเล็ก โดยเฉพาะที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี จะมีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อโนโรไวรัส เนื่องจากสาเหตุดังต่อไปนี้

1. ระบบภูมิคุ้มกันของเด็กเล็กที่ยังอยู่ในระยะไม่แข็งแรงนัก ทำให้มีความเสี่ยงสูงที่จะมีอาการรุนแรงและภาวะแทรกซ้อนจากโนโรไวรัสได้ง่ายกว่า

2. การปฏิบัติด้านสุขอนามัยที่ของเด็กเล็กที่ยังไม่เหมาะสม โดยเฉพาะการล้างมือที่อาจไม่ถูกวิธี นอกจากนี้เด็กเล็กยังมีแนวโน้มที่จะสัมผัสพื้นผิวที่ปนเปื้อนหรือเอาสิ่งของเข้าปาก ทำให้เพิ่มโอกาสในการติดเชื้อโนโรไวรัสโดยไม่ได้ตั้งใจ

3. การที่สถานรับเลี้ยงเด็กหรือโรงเรียน เป็นสถานที่มีเด็กอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสำหรับการแพร่เชื้อโนโรไวรัส ไวรัสสามารถแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในสภาพแวดล้อมดังกล่าว นำไปสู่การระบาดและส่งผลกระทบต่อเด็กหลายคนได้พร้อมกัน

 

 

อาการและภาวะแทรกซ้อน :

การติดเชื้อโนโรไวรัสมักแสดงอาการต่างๆ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง ปวดท้อง และบางครั้งอาจมีไข้ต่ำๆ ซึ่งอาการเหล่านี้อาจเป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับเด็กเล็ก โดยเฉพาะภาวะขาดน้ำที่เป็นปัญหาสำคัญ เนื่องจากการสูญเสียของเหลวจากการอาเจียนและท้องเสีย ในกรณีที่รุนแรง อาจต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพื่อฟื้นฟูระดับน้ำและจัดการกับภาวะแทรกซ้อน

 

การป้องกันการติดเชื้อ :

การป้องกันการติดเชื้อโนโรไวรัสในเด็กเล็กนั้นมุ่งเน้นไปที่สุขอนามัยและการสัมผัสให้น้อยที่สุด

1. การล้างมือเป็นประจำ โดยต้องสอนให้เด็ก ๆ รับรู้ถึงความสำคัญของการล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนรับประทานอาหาร หลังใช้ห้องน้ำ และหลังเล่นกับวัตถุที่อาจปนเปื้อนกับเชื้อ

2. ส่งเสริมความสะอาดในสถานที่ดูแลเด็ก ตรวจสอบให้แน่ใจว่าศูนย์รับเลี้ยงเด็ก โรงเรียน และพื้นที่เล่นมีการรักษามาตรฐานความสะอาดที่เข้มงวด รวมถึงการฆ่าเชื้อของเล่น พื้นผิว และห้องน้ำอย่างเป็นประจำ

3. การจัดการอาหารที่เหมาะสม: ให้ความรู้แก่ผู้ดูแลเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการเตรียมและการเก็บรักษาอาหารอย่างปลอดภัย ตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้สัมผัสอาหารปฏิบัติตามขั้นตอนสุขอนามัยที่เหมาะสม และเด็กได้รับอาหารที่ถูกสุขลักษณะ

4. หากเด็กแสดงอาการของโนโรไวรัส สิ่งสำคัญคือต้องให้พวกเขาอยู่ที่บ้านและอยู่ห่างจากผู้อื่นเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ

5. ควรพิจารณาในการรับวัคซีนป้องกัน แม้ว่าในปัจจุบันจะยังไม่มีวัคซีนสำหรับโนโรไวรัสโดยเฉพาะ แต่การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเกี่ยวกับการแนะนำวัคซีนที่จำเป็น สามารถช่วยป้องกันเด็กจากการติดเชื้อไวรัสอื่นๆ ที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของพวกเขาอ่อนแอลง ซึ่งส่งผลให้การติดเชื้อโนโรไวรัสลดความรุนแรงลงได้

 

การตรวจหาเชื้อโนโรไวรัสด้วยวิธี RP22 :

            การตรวจหาเชื้อไวรัสด้วยวิธี RP22 ถือว่าเป็นนวัตกรรมการตรวจแบบใหม่ ที่สามารถตรวจหาเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรียได้หลายชนิดในการทดสอบเพียงแค่ครั้งเดียว เป็นการ PCR แบบเรียลไทม์ หรือ Real-Time Polymerse Chain Reaction  ซึ่งมีความแม่นยำ และ สะดวกรวดรวดเร็ว  รวมไปถึงสามารถใช้วิธี RP22 ในการตรวจหาเชื้อโนโรไวรัสได้อีกด้วย

 

โนโรไวรัสเป็นตัวร้ายสำหร้บลูกน้อยของเรา ที่อาจส่งผลต่อสุขภาพ และ อาจถึงแก่ชีวิตได้หากอาการหนัก ดังนั้นจึงควรป้องกันลูกเราให้ดี หากคุณพ่อคุณแม่มีข้อสงสัยใดๆ

 

สามารถปรึกษาได้ที่ โรงพยาบาลเด็กของเชียงใหม่ ราม

โทร.052-004603