“โรคพาร์กินสัน” (Parkinson’s Disease) เป็นโรคที่มักเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป และ มักจะเกิดกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิงถึง 1.5 เท่า เกิดจากความเสื่อมของบริเวณสมองส่วนกลางและระบบประสาทบริเวณก้านสมอง ทำให้การผลิตสารที่มีชื่อว่า “โดพามีน” ลดลง ส่งผลให้เกิดความผิดปกติในการเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นอาการมือสั่น เคลื่อนไหวช้าลง ทำให้มีผลต่อความยากลำบากในการดำรงชีวิตได้
สาเหตุที่แท้จริงของความผิดปกติในการผลิตสารโดพามีนของร่างกายนั้นยังไม่ทราบอย่างแน่ชัด แต่มักจะพบบ่อยในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะการรับประทานยาบางชนิด เช่น ยาแก้วิงเวียน แก้มึนงง แก้อาเจียน ยารักษาอาการผิดปกติทางจิตบางชนิด ยากล่อมประสาท เป็นต้น นอกจากนี้แล้วอาการของโรคพาร์กินสันอาจเกิดจากความผิดปกติของสมองได้ เช่น หลอดเลือดสมองอุดตัน หลอดเลือดสมองแตก เนื้องอกในสมอง สมองอักเสบ โพรงน้ำในสมองขยายตัว หรือ การเกิดอุบัติเหตุที่กระทบกระเทือนต่อสมอง เป็นต้น รวมไปถึงอาจเป็นไปได้ที่เกิดจากพันธุกรรมอีกด้วย
อาการของโรคพาร์กินสันอาจเกิดขึ้นได้ใน 2 ลักษณะ ดังนี้
1. อาการที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว ซี่งจะมีอาการหลักๆ ดังต่อไปนี้
- มือสั่น เป็นอาการที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยได้เวลาอยู่นิ่งจะทำให้มือสั่น ใช้มือไม่สะดวก แต่เวลาเคลื่อนไหว มืออาจกลับไปนิ่งเหมือนเดิมได้
- กล้ามเนื้อเกร็ง จนอาจเป็นตะคริวได้บ่อย ใบหน้าสามารถแสดงออกได้น้อย ยิ้มได้น้อย ไม่ค่อยกระพริบตา กลืนไม่ค่อยคล่องเหมือนเดิม อาจมีน้ำลายมากและสำลักได้ง่ายขึ้น เสียงเบาลง
- เคลื่อนไหวร่างกายได้ช้าลง
- การทรงตัว และ การเดินผิดปกติ ก้าวเท้าได้เพียงสั้นๆ หมุนกลับตัวได้ลำบาก
2. อาการที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว อาจมีอาการที่เกิดขึ้นได้หลากหลาย เช่น คิดช้าลง ความจำไม่ค่อยดี ซึมเศร้า หลับไม่สนิท การได้กลิ่นต่างๆลดลง
โรคพาร์กินสันจะมีอาการแบ่งออกเป็น 5 ระยะ ได้แก่
ระยะที่ 1 : อาการเริ่มต้น โดยจะมีอาการสั่นของร่างกาย เช่น มือ และ แขน โดยเฉพาะเวลาที่อยู่นิ่ง และ อาจหายในเวลาที่มีการเคลื่อนไหวร่างกาย
ระยะที่ 2 : อาการเริ่มลุกลามไปยังอวัยวะอื่นๆ เริ่มหลังงอ ตัวโก่ง เคลื่อนไหวได้ช้าลง
ระยะที่ 3 : เริ่มทรงตัวได้ยาก หกล้มง่าย ลุกยืนได้ลำบาก
ระยะที่ 4 : สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ลดลง มีอาการเกร็งเพิ่มขึ้น เคลื่อนไหวได้ช้าลงกว่าเดิม ในระยะนี้จำเป็นต้องมีคนช่วยดูแล เนื่องจากอาจหกล้มได้ง่ายขึ้น
ระยะที่ 5 : กล้ามเนื้อมีอาการแข็งเกร็งจนขยับไม่ได้ เป็นผู้ป่วยติดเตียง มือเท้าหงิกงอ ไม่สามารถแสดงความรู้สึกทางใบหน้าได้ รับประทานอาหารได้น้อยลง เสียงเบาลง การเคลื่อนไหวของทรวงอกทำได้น้อย เสี่ยงต่ออาการติดเชื้อทางเดินหายใจ
ในปัจจุบันโรคพาร์กินสันยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถทำการรักษาเพื่อไม่ให้อาการรุนแรงมากขึ้น โดยในเบื้องต้นสามารถใช้ยาในการรักษาเริ่มต้น โดยยาที่มีการออกฤทธิ์ให้สมองผลิตสารโดพามีนได้มากขึ้น ซึ่งทำได้ทั้งการรับประทานยา หรือ อาจใช้แผ่นแปะ นอกจากนี้ผู้ป่วยยังสามารถทำกายภาพบำบัด เพื่อให้การเคลื่อนไหวของร่างกายดีขึ้น และสำหรับผู้ป่วยที่อาจมีอาการแทรกซ้อนจากการรับประทานยา แพทย์อาจแนะนำให้ใช้วิธีการผ่าตัด โดยจะใช้การฝังขั้วไฟฟ้าเพื่อไปกระตุ้นสมองส่วนลึก (Deep Brain Stimulation)
หากท่านใดมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคพาร์กินสัน ทางโรงพยาบาลเชียงใหม่รามสามารถให้คำปรึกษาจากแพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะทาง โดยสามารถติดต่อได้ที่แผนกโรคเฉพาะทาง โทร.053-920300 ต่อ 4000