โรคหัวใจเป็นโรคที่คร่าชีวิตคนเป็นจำนวนมากในอันดับต้นๆ หลายรายมีอาการบอกเหตุล่วงหน้า ทำให้รู้ตัวและหากวิธีป้องกันได้ก่อน แต่มีไม่น้อยที่ไม่เคยมีอาการใดๆมาก่อนเลย พอรู้ตัวอีกทีก็ป่วยหนักรุนแรงจนถึงแก่ชีวิตแล้ว ดังนั้นเราจึงควรหมั่นตรวจสุขภาพหัวใจเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 35-40 ปี ควรตรวจสุขภาพหัวใจอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ควบคู่กับการตรวจสุขภาพประจำปี ซึ่งการตรวจสุขภาพหัวใจนั้นมีอยู่หลายวิธี ขึ้นอยู่กับอาการและการวินิจฉัยของแพทย์ โดยมีวิธีที่ใช้บ่อยดังต่อไปนี้
เป็นการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ตรวจเช็คกระแสไฟฟ้าที่หัวใจผลิตออกมาขณะหดตัวหรือคลายตัว ซึ่งจะแสดงผลออกมาเป็นกราฟแสดงคลื่นไฟฟ้าหัวใจ หากมีคลื่นไฟฟ้าสม่ำเสมอก็แสดงถึงหัวใจที่ทำงานปกติ แต่หากกราฟแสดงผลออกมาผิดปกติก็อาจแสดงถึงการทำงานของพยาธิหัวใจที่ผิดปกติ วิธีนี้สามารถทำได้ง่าย สะดวก ไม่เจ็บ และให้ผลได้เร็ว การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจใช้สำหรับ การตรวจเพื่อค้นหาภาวะกล้ามเนื้อขาดเลือด , ตรวจเพื่อค้นหาสิ่งผิดปกติของหัวใจ , ตรวจเพื่อค้นหาความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่อาจเกิดจากความผิดปกติของระดับเกลือแร่ของร่างกาย
เป็นการตรวจหัวใจและเส้นเลือดที่เลี้ยงหัวใจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ความเร็วสูง ที่ให้ความละเอียดของภาพสูง แม่นยำ ใกล้เคียงกับการใส่สายสวนผ่านหลอดเลือดที่เลี้ยงหัวใจ นอกจากนี้ยังสามารถถ่ายภาพในขณะหัวใจเต้น และ ให้รายละเอียดเกี่ยวกับกล้ามเนื้อหัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจ หลอดเลือดหัวใจ รวมทั้งปริมาณแคลเซียม หินปูนที่เกาะอยู่ตามผนังหลอดเลือดหัวใจ โดยไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล โดยเฉพาะการตรวจแบบ CT 128 Slices ยังสามารถตรวจหาความผิดปกติของอวัยวะในส่วนอื่นๆได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น การตรวจหาเนื้องอกระยะเริ่มต้นในลำไส้ใหญ่ , ตรวจหาเนื้องอกระยะเริ่มต้นในเนื้อเยื่อปอด , ตรวจหาความผิดปกติของกระดูกส่วนต่างๆของร่างกาย , ตรวจหาความผิดปกติของเนื้อเยื่อสมอง และหลอดเลือดสมอง , ตรวจหาความผิดปกติของเนื้อเยื่อในช่องท้อง
ในกรณีที่ตรวจหัวใจด้วยวิธีตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจแล้วไม่พบความผิดปกติ แต่พบว่ายังมีอาการของโรคที่น่าสงสัยว่าหัวใจอาจมีความผิดปกติ อาจใช้เครื่องบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจชนิดติดตามตัวตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้ตรวจเช็คว่ากิจกรรมต่างๆในชีวิตมีผลทำให้คลื่นไฟฟ้าหัวใจมีความผิดปกติหรือไม่
การตรวจคลื่นหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง หรือ เรียกสั้นๆว่า “เอคโค่” เป็นการทำอัลตร้าซาวด์หัวใจ โดยใช้หลักการส่งคลื่นเสียงความถี่สูงไปที่หัวใต แล้วส่งสัญญาณกลับเพื่อตรวจความผิดปกติของหัวใจจากการแสดงภาพเงาตามความหนาบางของเนื้อเยื่อหัวใจที่ตกกระทบ โดยการทำเอคโค่สามารถตรวจดูความเคลื่อนไหวของหัวใจ การบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ รูปร่างของหัวใจ ความหนาของผนังกล้ามเนื้อหัวใจ การทำงานของลิ้นหัวใจ ความพิการและความผิดปกติของหัวใจ เพื่อใช้ประกอบการวินิจฉัยของแพทย์โดยไม่มีอันตรายและความเจ็บปวดใดๆ โดยใช้เวลาในการตรวจเพียง 20-30 นาที
วิธีนี้เรียกง่ายๆได้ว่า “วิ่งสายพาน” เป็นการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะออกกำลังกายด้วยการวิ่งสายพาน เพื่อให้หัวใจทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อตรวจสอบว่าในขณะที่หัวใจกำลังทำงานอย่างหนักอยู่นั้น หัวใจมีภาวะขาดเลือดหรือไม่ โดยสังเกตุจากการเปลี่ยนแปลงคลื่นไฟฟ้าของหัวใจ รวมไปถึงอัตราการเต้นของหัวใจ และอาการอื่นๆ เช่น การแน่นหน้าอก หายใจลำบาก เป็นต้น การตรวจด้วยวิธีนี้จะสามารถตรวจเช็คโรคหัวใจขาดเลือด , โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะในเบื้องต้น เพื่อให้แพทย์สามารถทำการวินิจฉัยต่อไปได้
การดูแลสุขภาพของหัวใจถือเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย การทานอาหารที่มีประโยชน์ การพักผ่อน และที่สำคัญควรตรวจสุขภาพของหัวใจอย่างเป็นประจำจากโรงพยาบาลเชียงใหม่ รามที่มีศูนย์บริการเฉพาะทางโรคหัวใจ โดยหากท่านมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่โรงพยาบาลเชียงใหม่ ราม แผนกโรคเฉพาะทาง โทร.052-004699 ต่อ 4000