
โรคหัวใจขาดเลือด (Coronary Artery Disease) เป็นหนึ่งในโรคที่คร่าชีวิตคนทั่วโลกมากที่สุด โดยเกิดจากการที่หลอดเลือดหัวใจตีบหรืออุดตัน ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจได้รับเลือดและออกซิเจนไม่เพียงพอ หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที อาจนำไปสู่ภาวะหัวใจวายเฉียบพลันและเสียชีวิตได้
สาเหตุของ โรคหัวใจขาดเลือด มักเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตในระยะยาว เช่น การรับประทานอาหารไขมันสูง สูบบุหรี่ ความเครียด หรือแม้แต่กรรมพันธุ์ การเข้าใจโรคนี้อย่างลึกซึ้งจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะ การรู้ทันและป้องกันตั้งแต่เนิ่น ๆ คือกุญแจสำคัญในการป้องกันไม่ให้เกิดโรคร้ายแรงนี้
โรคหัวใจขาดเลือด หรือชื่อทางการแพทย์ว่า Coronary Artery Disease CAD เกิดจากภาวะที่หลอดเลือดหัวใจตีบหรืออุดตันเนื่องจากมีไขมัน (พลัค) ไปสะสมอยู่ที่ผนังหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอ
เมื่อกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด จะเกิดอาการเจ็บแน่นหน้าอก หายใจไม่อิ่ม เหนื่อยง่าย และหากรุนแรงจนเลือดไม่สามารถไปเลี้ยงหัวใจได้เลย จะเกิดภาวะ กล้ามเนื้อหัวใจวายเฉียบพลัน Heart Attack
สาเหตุหลักของ โรคหัวใจขาดเลือด คือการสะสมของไขมันไม่ดี LDL Cholesterol ภายในหลอดเลือด ซึ่งจะค่อย ๆ แข็งตัวและทำให้หลอดเลือดตีบแคบลง การไหลเวียนของเลือดจึงลดลง
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือด ได้แก่
การสูบบุหรี่
ความดันโลหิตสูง
เบาหวาน
ไขมันในเลือดสูง
โรคอ้วน และน้ำหนักเกิน
ความเครียดเรื้อรัง
ขาดการออกกำลังกาย
พันธุกรรมหรือประวัติครอบครัวที่เป็นโรคหัวใจ
นอกจากนี้ อายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะหลังอายุ 45 ปีในผู้ชาย และ 55 ปีในผู้หญิง ยังเพิ่มความเสี่ยงในการเกิด โรคหัวใจขาดเลือด ได้มากขึ้นด้วย
โรคหัวใจขาดเลือด อาการ ที่พบได้บ่อยจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจ
อาการจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง โดยเฉพาะเมื่อหลอดเลือดอุดตันจนเลือดไม่สามารถไหลผ่านได้เลย
สัญญาณเตือนที่ควรระวัง
เจ็บแน่นหน้าอก คล้ายของหนักกดทับ
เจ็บร้าวไปที่กราม คอ แขนซ้าย หรือหลัง
หายใจลำบาก เหนื่อยง่าย
เหงื่อออกมากกว่าปกติ
คลื่นไส้ อาเจียน
หน้ามืดหรือหมดสติ
หากมีอาการเหล่านี้ควรรีบไปโรงพยาบาลทันที เพราะอาจเป็นภาวะ กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน
ในบางรายหลอดเลือดตีบเพียงบางส่วน ทำให้เกิดอาการแบบเป็น ๆ หาย ๆ หรือเฉพาะเวลาหัวใจต้องทำงานหนัก เช่น ออกแรง เดินขึ้นบันได หรือเครียด
อาการที่พบได้
เจ็บแน่นหน้าอกขณะออกแรง แต่จะดีขึ้นเมื่อพัก
เหนื่อยง่ายกว่าปกติ
ใจสั่น หรือหายใจไม่อิ่ม
เวียนหัว หรือรู้สึกหมดแรง
ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงควรเข้ารับการตรวจสุขภาพหัวใจเป็นประจำ
แพทย์จะวินิจฉัยโดยอาศัยอาการของผู้ป่วยร่วมกับการตรวจทางการแพทย์ ดังนี้
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ECG เพื่อดูการทำงานของหัวใจและการไหลเวียนของเลือด
การตรวจขณะเดินสายพาน Exercise Stress Test ประเมินสมรรถภาพหัวใจเมื่อออกแรง
อัลตราซาวด์หัวใจ Echocardiogram ตรวจการบีบตัวและการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ
การตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือ MRI ใช้ดูภาพหลอดเลือดหัวใจอย่างละเอียด
การฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ Coronary Angiogram เป็นการตรวจที่แม่นยำที่สุด เพื่อดูตำแหน่งและระดับการตีบของหลอดเลือด
การตรวจเหล่านี้ช่วยให้แพทย์วางแผนการรักษาได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย
โรคหัวใจขาดเลือดรักษาหายไหม สามารถควบคุมได้ แต่ไม่สามารถหายขาด 100% อย่างไรก็ตาม หากได้รับการรักษาและปรับพฤติกรรมอย่างถูกต้อง ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติ
การรักษาด้วยยา
ยาต้านเกล็ดเลือด เช่น แอสไพริน
ยาขยายหลอดเลือดหัวใจ
ยาควบคุมไขมันในเลือด
ยาลดความดันโลหิต
ยารักษาเบาหวา
การขยายหลอดเลือดหัวใจ Balloon & Stent
แพทย์จะสอดสายสวนเข้าไปยังหลอดเลือดหัวใจเพื่อขยายจุดตีบด้วยบอลลูน
อาจใส่ขดลวด Stent เพื่อป้องกันการตีบซ้ำ
มีทั้งขดลวดเคลือบยา ขดลวดไม่เคลือบยา และขดลวดละลายได้ ขึ้นอยู่กับสภาพผู้ป่วย
การผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ Bypass Surgery
ใช้ในกรณีที่หลอดเลือดตีบหลายตำแหน่ง หรือไม่สามารถใส่ขดลวดได้
ศัลยแพทย์จะนำหลอดเลือดจากส่วนอื่นของร่างกายมาทำทางเบี่ยง เพื่อให้เลือดไหลเวียนได้ตามปกติ
การป้องกันย่อมดีกว่าการรักษา โดยเฉพาะกับ โรคหัวใจขาดเลือด ที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตโดยตรง
หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง เช่น ของทอด อาหารแปรรูป
รับประทานผัก ผลไม้ และธัญพืชไม่ขัดสี
ลดการกินเกลือและน้ำตาล
ดื่มน้ำให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
การออกกำลังกายช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น และควบคุมน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ แนะนำออกกำลังกายโดยการเดินเร็ว วิ่งเหยาะ ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยานอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน
รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
ฝึกสมาธิ โยคะ หรือทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายจิตใจ
พักผ่อนให้เพียงพอ
โรคหัวใจขาดเลือด เป็นโรคที่เกิดจากการตีบหรืออุดตันของหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งสามารถควบคุมและป้องกันได้ด้วยการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต ตั้งแต่การกิน ออกกำลังกาย ไปจนถึงการจัดการความเครียด
การตรวจสุขภาพประจำปีและสังเกตอาการของตนเองอยู่เสมอ คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้คุณรู้เท่าทันโรคและป้องกันภาวะรุนแรงได้ทันเวลา