รู้จักการคลอดธรรมชาติ และ ผ่าคลอดต่างกันยังไง
April 10 / 2025

 

การคลอดเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ต้องมีการเตรียมตัวและตัดสินใจอย่างรอบคอบ เพราะวิธีการคลอดทั้งคลอดธรรมชาติ และ ผ่าคลอดแต่ละแบบมีข้อแตกต่างกัน การเลือกวิธีคลอดขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น สุขภาพของคุณแม่ ตำแหน่งของทารก หรือภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นซึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูตินรีเวชวิทยาจะเป็นผู้แนะนำวิธีการคลอดให้กับคุณแม่เพื่อความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากที่สุด

 

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับการคลอดธรรมชาติและการผ่าคลอดแต่ละวิธีมีความแตกต่างกันยังไง

การคลอดธรรมชาติ

การคลอดธรรมชาติ เป็นการคลอดที่คุณแม่คลอดทารกออกมาด้วยการเบ่งทางช่องคลอด ที่ไม่มีการผ่าตัดซึ่งจะทำการคลอดหลังจากอายุครรภ์ครบกำหนด ประมาณ 37-42 สัปดาห์ ซึ่งทารกจะอยู่ในท่ากลับศีรษะเคลื่อนตัวมายังอุ้งเชิงกรานเพื่อเตรียมคลอดแบบธรรมชาติ

 

ขั้นตอนการคลอดธรรมชาติ

การคลอดธรรมชาติจะประกอบไปด้วย 3 ขั้นตอน

1.สัญญาณเตือนของการเจ็บครรภ์

 

จะเกิดขึ้นเมื่อปากลูกเริ่มขยายตัวกว้าง 10 เซนติเมตร โดยสัญญาณเตือนจะแบ่งออกเป็น 3 ระยะได้แก่

 

  • ระยะเริ่มต้น Early labor เป็นระยะที่ปากมดลูกเริ่มขยายตัวอย่างช้าๆ ประมาณ 5 เซนติเมตร ในระยะนี้มดลูกจะบีบตัวครั้งละ 30 – 45  วินาที ทุกๆ 5-30 นาที คุณแม่อาจจะมีอาหารเหล่านี้ร่วมด้วย อาเจียน ท้องเสียเล็กน้อย ปวดท้อง ปวดหลังช่วงล่าง มีอาการน้ำเดินใสๆเล็กน้อย
     

  • ระยะเร่ง Active labor มดลูกจะบีบตัวบ่อยขึ้น แรงขึ้น ครั้งละ 45 – 60  วินาที ทุกๆ 3-5 นาที ปากมดลูกจะขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 7 เซนติเมตรจากระยะเริ่มต้น คุณแม่จะมีอาการเจ็บครรภ์มากขึ้นและมีอาการปวดบริเวณหลังส่วนล่าง  ท้อง ต้นขา ร่วมด้วย
     

  • ระยะเปลี่ยนผ่าน Transitional labor มดลูกจะบีบตัวบ่อยขึ้นครั้งละ 60 – 90  วินาที ทุกๆ 0.5 – 3 นาที ปากมดลูกจะมีความกว้างมากถึง 10 เซนติเมตรจากระยะเร่ง คุณแม่จะมีอารมณ์แปรปรวนบ่อยขึ้น

2. การเบ่งคลอด

ขั้นตอนนี้คุณแม่พร้อมที่จะคลอดทารก โดยจะรู้สึกถึงแรงดันบริเวณช่วงล่างจนคุณแม่เริ่มอยากเบ่งคลอด ในขั้นตอนนี้ปกติแล้วสำหรับคุณแม่ที่มีสุขภาพแข็งแรง อาจใช้เวลาเพียง 2-3 นาทีสามารถคลอดทารกออกมาได้สำเร็จ จากนั้นแพทย์จะใช้ลูกยางเพื่อดูด เมือก น้ำคร่ำออกจากปากและจมูกของทารก เพื่อเปิดช่องทางเดินหายใจให้เด็กทารก

 

3. การคลอดรก

หลังจากคลอดเด็กทารกออกมาสำเร็จแล้ว ต่อไปจะเป็นการให้คุณแม่คลอดรกที่อยู่ภายในออกมา เพียงแค่เบ่งเบาๆ 1 - 2 ครั้ง รกก็จะออกมาจากนั้นแพทย์ก็จะดำเนินการตรวจสอบอย่างละเอียดว่ารกที่คลอดมาออก มาหมด เพื่อป้องกันไม่ให้คุณแม่มีอาการติดเชื้อหรือตกเลือดหลังคลอด

ข้อดีของการคลอดธรรมชาติ

  • ไม่ต้องเข้ารับการผ่าตัด

  • ฟื้นตัวได้เร็วกว่าการผ่าคลอด

  • มีแผลหลังคลอดน้อย (มีแผลเฉพาะภายนอกมดลูก)

  • ไม่เกิดพังผืดในช่องท้อง

  • โอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังคลอดน้อย

  • สามารถให้นมลูกได้ทันทีหลังคลอดเสร็จ

 

ข้อเสียของการคลอดลูกธรรมชาติ

  • มีอาการปวดท้องระหว่างทำการคลอด

  • หากคุณแม่ไม่มีแรงเบ่ง อาจจะต้องใช้เครื่องดูดสูญญากาศ หรือคีมช่วยนำเด็กออกมา

  • หากทารกตัวใหญ่ อาจส่งผลให้คลอดลำบากมีโอกาสที่คุณแม่จะต้องเข้ารักการผ่าตัดฉุกเฉิน

การผ่าคลอด

การผ่าคลอดเป็นวิธีการคลอดที่แพทย์จะทำการผ่าตัดเปิดบริเวณหน้าท้องและมดลูกเพื่อนำทารกออกมา วิธีการผ่าคลอดนี้จะเหมาะกับคุณแม่ที่มีเชิงกรานแคบ ทารกอยู่ในท่าที่ผิดปกติ หัวใจทารกเต้นผิดปกติ สายสะดือสั้น รกเกาะต่ำ ครรภ์แฝด ครรภ์เป็นพิษ รวมไปถึงปัญหาสุขภาพร่างกายของคุณแม่ที่ไม่พร้อมใช้วิธีการคลอดแบบธรรมชาติ

ขั้นตอนการผ่าคลอด

1.เตรียมความพร้อมสำหรับการผ่าคลอดของคุณแม่

 

สำหรับการผ่าคลอดแพทย์จะมีการนัดวางแผนไว้ล่วงหน้าเมื่อถึงวันผ่าแพทย์จะให้งดน้ำ งดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วมงก่อนเข้ารับการผ่าตัด จากนั้นทีมแพทย์จะทำความสะอาดบริเวณหน้าท้อง โกนขนบริเวณหน้าท้อง ใส่สายสวนปัสสาวะ

 

2. ดมยาสลบ การฉีดยาชาบริเวณไขสันหลัง หรือบล็อคหลัง

 

การให้ยาระงับความรู้สำหรับการผ่าคลอดจะมีอยู่ 2 วิธีด้วยกันโดยการเลือกใช้ยาระงับความรู้สึกจะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของวิสัญญีแพทย์

 

3. ทีมแพทย์ดำเนินการผ่าคลอด

หลักจากให้ยาสลบ หรือยาชาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แพทย์จะเริ่มลงมีดผ่าคลอดโดยจะนิยมอยู่ 2 วิธีคือ ผ่าแนวกลางลำตัว (vertical incision) และผ่าแนวขวาง (transverse incision) ทั้ง 2 วิธีนี้ก็จะมีข้อแตกต่างกันไป ในขั้นตอนนี้จะใช้เวลาผ่าคลอดประมาณ 45 - 60 นาที

4. เย็บปากแผล

 

เมื่อการผ่าคลอดทารก และนำรกออกจากมดลูกแล้วทีมแพทย์จะทำการเย็บปิดผนังมดลูก ปัจจุบันจะนิยมใช้ไหมละลายในการเย็บแผล

 

หลังผ่าคลอด 24 ชั่วโมงหากไม่เกิดอาการภาวะแทรกซ้อน แนะนำให้คุณแม่สามารถรับประทานอาหารอ่อนก่อนช่วงแรก เพื่อป้องกันการเกิดอาการท้องอืด ปวดท้อง และหลังผ่าคลอดเสร็จควรพักฟื้นที่โรงพยาบาลเป็นระยะเวลาประมาณ 3 - 5 วัน

ข้อดีของการผ่าคลอด

  • สามารถนัดวันผ่าคลอดล่วงหน้าได้

  • ระหว่างผ่าคลอดคุณแม่จะไม่รู้สึกเจ็บ

  • ลดความเสี่ยงสายสะดือถูกกดทับระหว่างทำคลอด

  • ลดการยืดหย่อนของเชิงกราน เนื่องจากไม่ต้องใช้แรงเบ่ง

ข้อเสียของการผ่าคลอด

  • มีรอยแผลผ่าตัดบริเวณหน้าท้อง

  • ฟื้นตัวช้ากว่าคลอดธรรมชาติ

  • ไม่สามารถให้นมลูกได้ทันทีหลังผ่าคลอด

  • อาจเกิดพังผืดในช่องท้อง

  • อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนตกเลือดหลังคลอด หรือทารกเสี่ยงมีปัญหาระบบทางเดินหายใจ

 

สามารถอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับ ภาวะความแปรปรวนหลังคลอดพร้อมวิธีรับมือที่ถูกต้อง

 

หากคุณแม่ท่านใดมีแผนที่จะสร้างครอบครัว กำเนิดลูกน้อย ทา แผนกสูติ-นรีเวช โรงพยาบาลเชียงใหม่ ราม พร้อมให้คำปรึกษาโทร 052-004699 ต่อ 1500 หรือสนใจแพ็กเกจคลอดสามารถดูรายละเอียดแพ็กเกจผ่าคลอดเพิ่มเติม