โรงพยาบาลเชียงใหม่ราม เคารพสิทธิความเป็นส่วนตัวของคู่ค้าและคู่สัญญาซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา กรรมการของคู่ค้าและคู่สัญญาที่เป็นนิติบุคคล รวมถึงผู้ปฏิบัติงานและพนักงานของคู่ค้าและคู่สัญญา (รวมเรียกว่า “ท่าน”) และเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าท่านได้รับความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล จึงได้จัดทำนโยบายความเป็นส่วนตัวฉบับนี้ขึ้น เพื่อแจ้งให้ทราบถึงรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับการเก็บรวบรวม การใช้ และการเปิดเผย (รวมเรียกว่า “การประมวลผล”) รวมตลอดถึงการลบและทำลาย ข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ตามที่พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกำหนด ดังนี้
โรงพยาบาลอาจเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของคู่ค้าและคู่สัญญาจาก
โรงพยาบาลมีความจำเป็นที่จะต้องเก็บรวบรวม และใช้ข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาทำสัญญาระหว่างกันโดยที่พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลพ.ศ. 2562 กำหนดให้โรงพยาบาล (ซึ่งมีสถานะเป็นผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล) ชี้แจงถึงรายละเอียด และวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวม เพื่อการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ หรือเปิดเผยได้
โรงพยาบาลทำการใช้ และอาจรวมถึงการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลให้กับโรงพยาบาลในเครือเพื่อวัตถุประสงค์หลายประการภายใต้ฐานทางกฎหมาย ดังต่อไปนี้
1) ฐานการปฏิบัติตามสัญญา: เพื่อการพิจารณาคัดเลือกคุณสมบัติก่อนการเข้าทำสัญญา การติดต่อประสานงานเกี่ยวกับการปฏิบัติตามสัญญา การเข้าทำสัญญาระหว่างกัน รวมถึงการชำระเงินตามสัญญา และการดำเนินกระบวนการชำระเงินผ่าน Platform ของผู้ให้บริการของโรงพยาบาล
2) ฐานการปฏิบัติตามกฎหมาย: เพื่อความจำเป็นในการก่อตั้งสิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย เพื่อเป็นหลักฐานในการยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย การปฏิบัติตามคำสั่งของศาลหรือตามคำสั่งของหน่วยงานราชการที่มีอำนาจตามกฎหมาย รวมถึงการเปิดเผยหรือรายงานข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้แก่หน่วยงานราชการที่มีอำนาจตามกฎหมาย
3) ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย: โดยคำนึงถึงความได้สัดส่วนและความคาดหมายของคู่ค้าและคู่สัญญา โดยประโยชน์ที่ได้มีความสมดุลกับสิทธิขั้นพื้นฐานของคู่ค้าและคู่สัญญาเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้
4) ฐานความยินยอม: โรงพยาบาลจะดำเนินกิจกรรมตามวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้ เมื่อได้รับความยินยอมจากคู่ค้าหรือคู่สัญญา
โรงพยาบาลมีความจำเป็นที่จะต้องเก็บรวบรวม และใช้ข้อมูลส่วนบุคคล และข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหวไว้เป็นระยะเวลา 10 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับข้อมูล
1) ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ-นามสกุล คำนำหน้าชื่อ เพศ วันเดือนปีเกิด หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน เลขที่หนังสือเดินทาง เลขที่บัตรประจำตัวผู้เสียภาษี ตำแหน่ง สัญชาติ อายุ ประสบการณ์หรือประวัติการทำงาน ความเชี่ยวชาญ ความถนัด รวมถึงข้อมูลที่มีความอ่อนไหว ได้แก่ ศาสนา เชื้อชาติ และข้อมูลสุขภาพ ซึ่งโรงพยาบาลได้รับความยินยอมตามกฎหมายจากคู่ค้าหรือคู่สัญญา หรือมีความจำเป็นตามที่กฎหมายอนุญาตให้ดำเนินการได้
2) ข้อมูลเพื่อการติดต่อ เช่น ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ หมายเลขโทรศัพท์มือถือ อีเมล
3) ข้อมูลทางการเงินและธุรกิจ เช่น หมายเลขบัญชีเงินฝากธนาคาร ข้อมูลการทำธุรกรรม รายละเอียดราคาและผลิตภัณฑ์
4) ข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานระบบสารสนเทศและเว็บไซต์ต่างๆ ของคู่ค้าหรือคู่สัญญา การบันทึกภาพจากกล้องวงจรปิด การบันทึกเสียงสนทนาจากการประชุมต่าง ๆ
โรงพยาบาลจะไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของคู่ค้าหรือคู่สัญญาต่อบุคคลภายนอก เว้นแต่ได้แจ้งให้ทราบโดยชอบแล้ว และหรือได้รับความยินยอมจากคู่ค้าหรือคู่สัญญา หรือมีความจำเป็นต้องเปิดเผยหรือรายงานข้อมูลส่วนบุคคลของคู่ค้าหรือคู่สัญญาตามกฎหมายให้แก่หน่วยงานกำกับดูแล หน่วยงานราชการ และหน่วยงานอื่นๆ ตามที่กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจของโรงพยาบาลกำหนดนอกจากนี้ โรงพยาบาลอาจจำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของคู่ค้าหรือคู่สัญญาให้แก่บุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้องตามวัตถุประสงค์ที่ได้ระบุไว้ข้างต้น เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการตรวจสอบบัญชี การขอคำปรึกษาทางกฎหมาย การตรวจสอบ การประเมิน การดำเนินคดี และการดำเนินการอื่นใดที่จำเป็นต่อการประกอบธุรกิจ
โรงพยาบาลต้องแจ้งวัตถุประสงค์ของการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล และการขอความยินยอม เป็นข้อความที่เข้าใจได้ง่าย อ่านง่าย และไม่เข้าใจผิดในวัตถุประสงค์ดังกล่าว รวมถึงเจ้าของข้อมูลจะถอนความยินยอมเสียเมื่อใดก็ได้ เว้นแต่มีข้อจำกัดสิทธิในการถอนความยินยอมโดยกฎหมาย ทั้งนี้การถอนความยินยอมไม่กระทบต่อการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้ให้ความยินยอมไปแล้วโดยชอบ
โรงพยาบาลกำหนดมาตรการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลของคู่ค้าหรือคู่สัญญาที่สอดคล้องกับกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ แนวปฏิบัติด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลให้แก่เจ้าหน้าที่ที่ดูแลข้อมูลถือปฏิบัติ รวมถึงสนับสนุน ส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่ที่ดูแลข้อมูลมีความตระหนักรู้ถึงหน้าที่ และความรับผิดชอบในการเก็บรวบรวมการใช้ การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล และจำกัดการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของคู่ค้าหรือคู่สัญญา โดยเจ้าหน้าที่ที่ดูแลข้อมูลผู้มีอำนาจทุกระดับต้องปฏิบัติตามแนวทางการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลตามที่กำหนดไว้ เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562
1) สิทธิในการเพิกถอนความยินยอมในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเสียเมื่อใดก็ได้
2) สิทธิในการขอเข้าถึง และเปิดเผยถึงการได้มาซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวที่คู่ค้าหรือคู่สัญญาไม่ได้ให้ความยินยอม
3) สิทธิคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับคู่ค้าหรือคู่สัญญาเสียเมื่อใดก็ได้
4) สิทธิขอให้บริษัทฯ ลบ หรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลของคู่ค้าหรือคู่สัญญา
5) สิทธิขอให้ระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล
6) สิทธิร้องขอแก้ไขข้อมูลนั้น ให้ถูกต้อง เป็นปัจจุบัน สมบูรณ์ และไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด
7) สิทธิในการคัดค้านการประมวลผลข้อมูล
8) สิทธิร้องเรียนในกรณีมีการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือประกาศที่ออกตามกฎหมายดังกล่าว
ทั้งนี้ คู่ค้าหรือคู่สัญญาสามารถขอใช้สิทธิดังกล่าวข้างต้นได้ โดยยื่นคำร้องขอใช้สิทธิต่อโรงพยาบาล เป็นลายลักษณ์อักษรตามแบบฟอร์มที่กำหนดให้ ผ่าน “ช่องทางการติดต่อของโรงพยาบาล” ด้านล่าง โดยโรงพยาบาลจะพิจารณา และแจ้งผลการพิจารณาคำร้องของคู่ค้าหรือคู่สัญญา ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับคำร้องดังกล่าว
โรงพยาบาลอาจทำการปรับปรุงหรือแก้ไขนโยบายนี้เป็นครั้งคราว เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดตามกฎหมายการเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานของโรงพยาบาลรวมถึงข้อเสนอแนะและความคิดเห็นจากหน่วยงานอื่นโดยจะประกาศการเปลี่ยนแปลงให้ทราบอย่างชัดเจนก่อนจะเริ่มดำเนินการบังคับใช้ต่อไป
หัวหน้าแผนกธุรการและบุคคล
โรงพยาบาลเชียงใหม่ ราม
เลขที่ 8 ถนนบุญเรืองฤทธิ์ ตำบลศรีภูมิ
อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 50200
โทรศัพท์ 052-004699 ต่อ 7403
อีเมล dpo@chiangmairam.co.th
เว็บไซต์ www.chiangmairam.com
นโยบายความเป็นส่วนตัวของพนักงานฉบับนี้ ประกาศ ณ วันที่ 1 มิถุนายน 2565