ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B) เป็นการติดเชื้อที่เกิดขึ้นกับตับจากเชื้อไวรัสชนิดนี้โดยตรง ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างรุนแรง หากไม่ได้รับการดูแลหรือรักษาอย่างถูกวิธี โรคนี้นำไปสู่ภาวะที่อันตรายต่อชีวิต เช่น ตับแข็ง มะเร็งตับ หรือภาวะตับวาย ได้ การแพร่เชื้อของไวรัสชนิดนี้มักเกิดขึ้นจากสารคัดหลั่งในร่างกายเข้าสู่ร่างกายผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นเลือด น้ำลาย หรือการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน นอกจากนี้ไวรัสตับอักเสบบีการถ่ายทอดเชื้อจากมารดาที่ไปสู่เด็กทารกได้
ไวรัสตับอักเสบบี เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายผ่านของเหลวหรือสารคัดหลั่งต่าง ๆ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เชื้อไวรัสแพร่จากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งได้อย่างง่ายดาย
การแพร่เชื้อมักเกิดขึ้นเมื่อของเหลวจากผู้ติดเชื้อสัมผัสเข้าสู่ร่างกายผ่านทางแผลเปิด รอยถลอก หรือเยื่อบุต่าง ๆ เช่น ช่องปาก ดวงตา และอวัยวะเพศ โดยมีปัจจัยเสี่ยงหลัก ๆ ได้แก่
การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ซึ่งถือเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อย เนื่องจากเชื้อไวรัสสามารถถ่ายทอดผ่านน้ำอสุจิและสารคัดหลั่งทางได้โดยตรง
การใช้ของมีคมร่วมกัน เช่น เข็มฉีดยา มีดโกน หรือแปรงสีฟัน ซึ่งอาจมีเลือดหรือของเหลวที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส
การถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูก โดยเฉพาะในมารดาที่เป็นพาหะหรือมีการติดเชื้อเรื้อรัง เชื้อไวรัสสามารถส่งผ่านไปยังทารกได้ทั้งในระหว่างการตั้งครรภ์
ดังนั้น การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงเหล่านี้จึงมีความสำคัญอย่างมากต่อการลดโอกาสการติดเชื้อและการแพร่กระจายของ โรคไวรัสตับอักเสบบี
โดยทั่วไป ผู้ที่ติดเชื้อ ไวรัสตับอักเสบบี มักแสดงอาการหลังจากได้รับเชื้อไปแล้วประมาณ 1 - 3 เดือน ทั้งนี้อาการจะรุนแรงมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันและสุขภาพของแต่ละบุคคล อาการที่พบได้บ่อย มีดังนี้
มีไข้ คลื่นไส้ และอาเจียน อาการเริ่มต้นที่ทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นเพียงอาหารเป็นพิษหรือโรคกระเพาะ
อ่อนแรง เหนื่อยง่าย และปวดตามข้อ เกิดจากการที่ร่างกายกำลังต่อสู้กับเชื้อไวรัส ทำให้มีอาการเมื่อยล้าตลอดเวลา
เบื่ออาหาร
ตัวเหลือง ตาเหลือง เป็นอาการสำคัญที่บ่งบอกถึงความผิดปกติของตับ เนื่องจากมีการสะสมของสารบิลิรูบินในเลือด
ปวดท้องบริเวณชายโครงด้านขวา เนื่องจากตับอยู่บริเวณนี้ ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บหรือกดแล้วแน่นท้อง
ปัสสาวะมีสีเข้มผิดปกติ บ่งชี้ถึงการทำงานของตับที่เสื่อมลงและการกำจัดสารพิษที่ไม่สมบูรณ์
ในบางรายอาจไม่มีอาการที่ชัดเจน โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ทำให้ผู้ป่วยกลายเป็นพาหะโดยไม่รู้ตัว และมีโอกาสพัฒนาไปสู่ภาวะ ตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง หรือมะเร็งตับ ได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม
การตรวจหา เชื้อไวรัสตับอักเสบบี ถือเป็นขั้นตอนสำคัญในการป้องกันและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ดังนี้
ผู้ที่มีคนในครอบครัวเป็นพาหะหรือป่วยด้วยไวรัสตับอักเสบบี เช่น สามี ภรรยา หรือญาติสายตรง เพราะมีโอกาสสูงที่จะรับเชื้อต่อ
หญิงตั้งครรภ์ การตรวจคัดกรองช่วยป้องกันการถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูก และช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการป้องกันตั้งแต่แรกคลอด
ผู้ที่มีภาวะตับอักเสบเรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสโดยไม่รู้ตัว
ผู้ที่มีอาการบ่งชี้โรคตับ เช่น อ่อนเพลียเรื้อรัง ตัวเหลือง ตาเหลือง ปวดชายโครงด้านขวา อุจจาระดำ หรืออาเจียนเป็นเลือด อาการเหล่านี้อาจสัมพันธ์กับภาวะ ตับแข็ง
การป้องกัน ไวรัสตับอักเสบบี ที่ได้ผลและปลอดภัยที่สุดคือการฉีดวัคซีน ซึ่งช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายและลดโอกาสการเกิดโรคตับเรื้อรังหรือมะเร็งตับในอนาคต
เด็กแรกเกิด ควรได้รับวัคซีนทันทีภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด จากนั้นฉีดเข็มที่ 2 เมื่ออายุ 1 - 2 เดือน และเข็มที่ 3 เมื่ออายุ 6 - 18 เดือน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันอย่างต่อเนื่อง
ผู้ใหญ่ ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน ก็ควรเข้ารับการฉีดวัคซีนเช่นกัน โดยทั่วไปมักกำหนดให้ฉีด 3 เข็ม ภายในระยะเวลา 6 เดือน เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันที่เพียงพอ